กทม. เดินหน้าลดผลกระทบสุขภาพจาก PM2.5
กทม. เดินหน้าลดผลกระทบสุขภาพจาก PM2.5 หลัง คกก.โรคจากการประกอบอาชีพฯ ออกมาตรการเขตพื้นที่เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่น
วันนี้ (25 ก.พ. 68) รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอใบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 1/2568 หลังจากที่กรมควบคุมโรค แจ้งกรุงเทพมหานครให้ทราบถึงการกำหนดเขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่น PM2.5 และการนำมาตรการต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับใช้ดำเนินการในเขตพื้นที่ ให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเขตพื้นที่ที่กำหนด แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่
1.เขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวังและการป้องกันโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละออง PM2.5 เฉลี่ยใน 24 ชั่วโมง เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม. แต่ไม่เกิน 75 มคก./ลบ.ม. มีมาตรการสนับสนุนหน้ากากอนามัยแก่กลุ่มเปราะบาง จัดเตรียมพื้นที่หรือห้องปลอดฝุ่นในอาคารสถานที่ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน โดยรองผู้ว่าฯ ได้สั่งการให้พิจารณาเตรียมพื้นที่ห้องปลอดฝุ่นเพิ่มเติมในศูนย์บริการสาธารณสุขพลัสทั้ง 12 แห่ง
2.เขตพื้นที่ที่ต้องมีการควบคุมโรค คือ มีค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยใน 24 ชั่วโมง เกิน 75 มคก./ลบ.ม. มีมาตรการจัดเตรียมพื้นที่หรือห้องปลอดฝุ่นในอาคารสถานที่ในเขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวังและการป้องกันอย่างต่อเนื่อง ปรับรูปแบบการทำงานแบบ Work from home ส่วนภาคเอกชนพิจารณาตามเห็นสมควร ใช้กลไกกฎหมายตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 ให้คกก.ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพฯ กทม. ให้คำแนะนำแก่อธิบดีกรมควบคุมโรค เพื่อประกาศเขตพื้นที่ที่จำเป็นต้องเฝ้าระวัง
นอกจากนี้ มติคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม เห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมสำหรับปรับใช้ดำเนินการในเขตพื้นที่ที่ต้องการควบคุมโรคฯ ประกอบด้วย 5 มาตรการ ได้แก่
1.การลดการสัมผัสฝุ่น PM2.5
2.การสื่อสารความเสี่ยง
3.การเฝ้าระวังสุขภาพเชิงรุก
4.การเฝ้าระวังสุขภาพเชิงรับ (เวชกรรมสิ่งแวดล้อม)
5.การแจ้ง การรายงาน และการสอบสวนโรค
สำหรับสถานการณ์การเฝ้าระวังโรคที่เกี่ยวกับมลพิษทางอากาศในพื้นที่ กทม. วันที่ 8 พ.ย. 66 – 31 ธ.ค. 67 พบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจาก PM2.5 รวม 59,811 คน ผู้ป่วยมีจำนวนสูงสุดเดือน ม.ค. 67 จำนวน 5,644 คน ซึ่งจากนี้อีก 1-2 เดือน จะมีการประชุมร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากคาดว่าจะมีเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้ามา เพราะในเดือน เม.ย. ปีที่ผ่านมา เป็นเดือนที่มีปัญหาในเรื่องการควบคุมโรคหลาย ๆ โรค รวมถึงโรคอันเกิดจากอุณหภูมิและเพลิงไหม้ สารเคมี
