TECH

NIA ชี้ ผู้นำคนใหม่ ใช้ ‘นโยบายนวัตกรรม’ ขับเคลื่อนประเทศ เผย ‘แนวคิด 3C’ วาระสำคัญ

วันนี้ (10 เม.ย. 66) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดบทบาทของผู้นำประเทศคนใหม่กับการนำนวัตกรรมมาขับเคลื่อนประเทศ ถอดบทเรียนผู้นำจากประเทศชั้นนำที่ประสบความสำเร็จจากการนำนโยบายเชิงนวัตกรรม พร้อมนโยบายด้านนวัตกรรมกับกับการแก้ไขปัญหาของไทยตามแนวคิด 3C (Competitiveness – Corruption – Climate Change) ที่ผู้นำต้องเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลง

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ NIA กล่าวว่า ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา นโยบายด้านนวัตกรรมเป็นประเด็นที่นักการเมืองหลายประเทศชั้นนำของโลกให้ความสนใจเป็นลำดับแรก หลายประเทศชั้นนำทั้งยุโรป อเมริกา เอเชีย ล้วนได้รับการยอมรับจากการมีขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่สูง มีแบรนด์นวัตกรรมที่มีชื่อเสียง และสร้างมูลค่าใหม่ให้กับคนในประเทศด้วยอุตสาหกรรมและธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งผู้นำหลายคนได้หยิบยกนโยบายด้านนวัตกรรมมาใช้เรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล พลังงานใหม่ บริการสุขภาพ กระตุ้นให้เกิดการจ้างงานที่มีค่าตอบแทนสูง และชีวิตที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวถึงประเด็นความสามารถทางการแข่งขันของไทย (Competitiveness) ว่า ประเทศไทยมีนโยบายสร้างการเติบโตและพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมด้านอุตสาหกรรมอาหารและภาคการเกษตร หรือ BCG ซึ่งบริษัทของไทยที่นำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเชิงลึกมาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เติบโตในระดับโลก แต่ไม่สามารถสะท้อนความเป็นชาติแห่งนวัตกรรมของไทยได้ทั้งหมด

“แม้ปัจจุบันไทยจะมีบริษัทขนาดใหญ่ด้านอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่เติบโตในระดับโลก แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการจารึกว่าบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกที่ทำนวัตกรรมด้านเกษตรและอาหารอยู่ในประเทศไทย กลับถูกจารึกว่าเราคืออู่ข้าวอู่น้ำของโลก ต่างจากสวิตเซอร์แลนด์แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก ไม่มีทางออกทะเล แต่กลับขายซอสแม็กกี้ไปทั่วโลก นี่คือศักยภาพของการสร้างอาณาจักรธุรกิจด้วยนวัตกรรม แล้วค่อยมาลงที่ว่าจะแก้ปัญหาระยะสั้นอย่างไรด้วยนวัตกรรม ซึ่งเรื่องแรกตอบเรื่องของการแข่งขันทางการตลาด ส่วนเรื่องหลังตอบความสามารถทางการแข่งขันที่ทำได้ หลายประเทศทำแบบนี้ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อะไรที่เด่นอยู่แล้วต้องผลักดันให้เด่นในระดับโลกด้วย เอาเรื่องเด่นมาสู้เพื่อยกระดับความสามารถทางการแข่งขันหรือ Competitiveness” ดร.พันธุ์อาจ กล่าว

ประเด็นการคอรัปชั่น (Corruption) ดร.พันธุ์อาจ ระบุว่า เป็นอีกปัญหาใหญ่ที่คนไทยให้ความสนใจ เพราะสังคมมองว่าคนจนเพราะถูกคอรัปชั่น ดังนั้น นโยบายเชิงนวัตกรรมต้องแก้ปัญหาคอรัปชั่นและตอบคำถามเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลได้ตั้งแต่การตรวจเงินแผ่นดิน การเอา Blockchain ไปใช้ ถ้ารัฐไม่ซื้ออุตสาหกรรมก็จะไม่เกิด ปัจจุบันไทยมีอัตราส่วนการลงทุนเรื่องวิจัยและนวัตกรรมโดยภาคเอกชนไทยติดอันดับ 1 ของโลก นั่นคือเอกชนลงมากกว่ารัฐ เศรษฐกิจไทยที่รอดเพราะอยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่

สำหรับประเด็น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ดร.พันธุ์อาจ กล่าวว่า การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันยังเคยชินกับการสั่งเดลิเวอรี่ ทำให้ขยะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวต่อวัน การผลักดันให้ใช้รถ EV ไม่สามารถช่วยลดปัญหาฝุ่นควันได้ แม้ในอนาคตพื้นที่ กทม. จะใช้รถ EV สูงถึง 80% ฝุ่นควันก็ไม่หาย โดยมีกรณีศึกษาว่าการใช้รถไฟฟ้าไม่ได้หมายความว่า PM 2.5 จะลด เพราะว่าคุณยังใช้ถนนในการเดินทางเหมือนเดิม ปัญหา climate change จึงเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคน แต่ไกลตัวจากมุมที่ว่าจะต้องเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตยังไง เพราะฉะนั้นปัญหาสภาพแวดล้อมเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขด้วยเช่นเดียวกัน

“ในฐานะของหน่วยงานเพื่อการส่งเสริมระบบนวัตกรรมแห่งชาติ อยากเห็นการนำเสนอนโยบายที่นำนวัตกรรมเป็นตัวตั้งอย่างแท้จริง อยากเห็นแคนดิเดต Innovation Minister ที่ไม่ใช่ทีมเศรษฐกิจทั่วไปมาแสดงจุดยืนและเจตนารมณ์ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นอีกวาระสำคัญระดับชาติ อยากให้แต่ละพรรคลองสมมติบทบาทเสมือนว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนวัตกรรม แล้วลองดูว่าระบบที่มีอยู่เวิร์คหรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไรต่อ รวมถึงหากเข้ามาในสภาได้แล้วอีก 4 ปีจะเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยนวัตกรรมอย่างไร หรือจะให้นวัตกรรมช่วยขับเคลื่อนประเทศไปอยู่อันดับไหนของโลก โดยการดีเบตไม่เพียงแต่เป็นการแข่งขันหรือช่วงชิงคะแนนเท่านั้น แต่ยังเกิดประโยชน์ในมิติของประชาชนที่อาจจะได้แนวคิดไปพัฒนาธุรกิจ หรือทักษะความสามารถ ประโยชน์ต่อองค์กรธุรกิจ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐอื่นในการกำหนดนโยบายและแผนเชิงรุกเพื่อนำพาประเทศไปสู่จุดที่สูงขึ้น” ดร.พันธุ์อาจ กล่าวทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat