SOCIAL RESPONSIBILITY

มูลนิธิเอสซีจี จุดประกายแนวคิด Learn to Earn หนุนคนรุ่นใหม่เรียนรู้ตลอดชีวิต

มูลนิธิเอสซีจี จุดประกายขยายแนวคิด Learn to Earn หนุนคนรุ่นใหม่ ให้เรียนรู้ อยู่รอดได้ในชุมชน เพื่อให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ตลอดจนสังคมได้ เรียนรู้ ปรับตัว พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันรูปแบบการศึกษาได้เปลี่ยนไป เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งการเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่คือการเรียนรู้แบบ Active learning ทั้งทักษะวิชาชีพ (Hard skills) และทักษะด้านอารมณ์ และการเข้าสังคม (Soft skills) หรือที่เรียกว่า ‘ทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21’ (Power Skill) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิต และการทำงานในยุคปัจจุบันและอนาคต

ที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้ขับเคลื่อนแนวคิด Learn to Earn โดยเริ่มจากสนับสนุนทุนการศึกษา และพัฒนาศักยภาพเยาวชน รวมทั้งให้โอกาสเยาวชน ได้สร้างอาชีพให้กับตนเอง และชุมชนที่อาศัยอยู่ ยกตัวอย่าง เช่น เป็ด-จักรกริช ติงหวัง ต้นกล้าชุมชน โดย มูลนิธิเอสซีจี นักพัฒนาชุมชนรุ่นใหม่ที่ปรับตัว จากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สู่การจัดการท่องเที่ยวชุมชน จนเป็นคนต้นแบบในการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดได้ชุมชนอย่างยั่งยืน ตามแนวคิด Learn to Earn

จักรกริช เล่าว่า การจัดการแหล่งท่องเที่ยวชุมชนแห่งนี้ ยึดแนวทางการจัดการท่องเที่ยว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ โดยคำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม โดยชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ ร่วมรับผิดชอบ และร่วมรับผลประโยชน์ เพื่อให้ชุมชนเป็นผู้รับประโยชน์สูงสุด ที่เกิดจากการท่องเที่ยว ที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน และสร้างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างชาวบ้านในท้องถิ่นกับผู้มาเยือน รวมถึงเป็นเครื่องมือในการพัฒนา และส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน ในการจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยว ที่ประกอบไปด้วย ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจชุมชน

ทั้งนี้จักรกริช เป็นลูกหลานชาวประมงที่เกิด และเติบโตในพื้นที่อ่าวทุ่งนุ้ย บ้านหลอมปืน ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล เดินตามรอยเท้าผู้เป็นบิดา ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ระบบนิเวศคงความหลากหลายทางชีวภาพให้คงอยู่ เริ่มจากกิจกรรมเล็กๆ ที่ทำเองได้แบบไม่ต้องใช้เงินทุน อย่างการเก็บกวาดขยะบริเวณชายหาด ที่นอกจากจะทำให้ทัศนียภาพสวยงามแล้ว ยังเพื่อใช้ชายหาดเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมชุมชน ต่อมาภายหลังเหตุการณ์สึนามิ ที่ได้ทำลายสภาพแวดล้อม บริเวณรอบอ่าวไปจนหมดสิ้น

จักรกริช พร้อมด้วยผู้นำชุมชนและชาวบ้าน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันปลูกป่า เพื่อให้สภาพป่ากลับมาเหมือนเดิม พร้อมกับแนวคิดที่อยากจะพัฒนาพื้นที่อ่าวทุ่งนุ้ย ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงนิเวศ จนปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ที่สามารถสร้างรายได้ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรชุมชนอีกด้วย เพราะสถานที่แห่งนี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศหนึ่งเดียวของจังหวัดสตูล มีระบบนิเวศ 3 แบบ คือ ป่าชายเลนที่อยู่บนฝั่ง ป่าชายหาด และชายฝั่งที่อุดมสมบูรณ์

นอกจากการพัฒนาพื้นที่ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนแล้ว จักรกริช ยังได้ร่วมกับคนในชุมชน สร้างโปรแกรมท่องเที่ยวในชุมชน ตามเส้นทางต่างๆ ถึง 4 เส้นทาง ได้แก่ 1.เส้นทางธรรมชาติทะเลชายฝั่ง ป่าชายเลน 2.เส้นทางในชุมชน 3.เส้นทางธรณีโลกสตูล 4.เส้นทางท่องเที่ยวทางทะเล พร้อมด้วยบริการอาหารกลางวัน และอาหารว่างตามฤดูกาลที่เป็นอาหารพื้นบ้าน รวมถึงการทำผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่จะเป็นรายได้ให้กับสมาชิกชุมชน ได้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง ด้วย

เช่น แหล่งเรียนรู้เชิงนิเวศ ชุมชนหลอมปืน ในบริเวณอ่าวทุ่งนุ้ย ซึ่งมีฐานทรัพยากรธรรมชาติ ที่สำคัญต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ปันหยาบาติก ณ บ้านปากละงู สัมผัสการทำผ้ามัดย้อมสกัดจากสีดินท้องถิ่นแห่งแรกในประเทศไทย นั่งเรือไปชมเกาะลิดี ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าไม้บนเขา ป่าชายเลน โขดหินรูปร่างประหลาด หาดทรายที่สวยงาม และสะพานข้ามเวลา พาเดินชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติริมทะเล ที่พาย้อนกลับไปส่องยุคที่โลกยังไม่มีมนุษย์ พร้อมกับพาเดินผ่านยุคโบราณกาล 2 ยุคจากรอยสัมผัสของหิน คือ หินทรายสีแดงยุคแคมเบรียน และ หินปูนยุคออร์โดวิเชียน

ด้วยการทำงานอย่างทุ่มเทในพื้นที่ เน้นสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ในชุมชนอย่างต่อเนื่อง และสร้างการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดได้ในชุมชน ทำให้จักรกริช ได้รับความไว้ว้างใจ ให้ดำรงตำแหน่งประธานการท่องเที่ยวชุมชน โดยชุมชน Community-based Tourism (CBT) จังหวัดสตูล และได้รับรางวัลผู้มีผลงานดีเด่น ด้านการท่องเที่ยวชุมชน ประจำปี 2566 จากวิทยาลัยชุมชนสตูล และยังคงต่อยอดสร้างคุณค่าและมูลค่า ให้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เดียว ของชุมชนในพื้นที่อ่าวทุ่งนุ้ย บ้านหลอมปืน จ.สตูล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไป

ด้าน สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า แนวคิดแนวคิด Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด ที่มูลนิธิเอสซีจีกำลังขับเคลื่อน เพื่อจุดประกายขยายแนวคิดในสังคมว่า ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จนสามารถทำให้สมาชิกชุมชนทุกช่วงวัย มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอดได้ ทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องเสาะแสวงหาทางเข้า มาหางานทำในเขตเมือง แต่หันมาใส่ใจให้ความสำคัญ กับการพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดและพัฒนาทักษะ ความรู้ ความชำนาญ ที่มีอยู่”

“ด้วยความหวังที่จะพัฒนาบ้านเกิด ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้แก่ทุกคนในชุมชน ซึ่งตรงกับแนวคิด Learn to Earn ที่ทางมูลนิธิพยายามผลักดัน และให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะการเรียนรู้ ไม่ได้มีแพทเทิร์นที่ตายตัว ว่าต้องทำงานตรงตามสายงาน ที่เรียนจบมาเทานั้น แต่การเรียนรู้ตลอดเวลา เรียนรู้ให้เท่าทันโลก และนำความรู้ไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์ และทำให้ตัวเองอยู่รอดได้ในชุมชน ในสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญมากในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวของเป็ดคือหนึ่งตัวอย่างและต้นแบบสร้างแรงบันดาลใจ ของคนรุ่นใหม่ภายใต้แนวคิด Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด”

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat