SOCIAL RESPONSIBILITY

ทิพยประกันภัยฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมโครงการในพระราชดำริ โครงการห้วยองคตฯ

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จัดทำโครงการ ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 26 ล่าสุดลงพื้นที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายและผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ ผู้บริหารองค์กร เพื่อเยี่ยมเยือนโครงการในพระราชดำริ เพื่อศึกษาโมเดลความสำเร็จของเกษตรกร ที่สร้างตัวอย่างอย่างยั่งยืน ณ โครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงให้แนวทางโดยยึดหลัก “บวร” และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อให้ราษฎรได้อยู่อาศัยและทำกินกับธรรมชาติอย่างเกื้อหนุนกัน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง

ซึ่งกิจกรรมในงานนี้ มีหน่วยงานเข้าร่วมได้แก่ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด สำนักโครงการและจัดการความรู้ (OKMD) มูลนิธิธรรมดี กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ สมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย คุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมกันนี้ นายชรินทร์ กลั่นแฮม เกษตรกรที่ยึดหลักการพัฒนาตน ตามแนวทางของโครงการห้วยองคต อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้บอกเล่าถึงความสำเร็จ ในการทำไร่นาส่วนผสม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้ให้กับคนทั่วไปได้รับทราบ

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความภาคภูมิใจในการทำ โครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา คือการที่เราได้เห็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ จากผู้เข้าร่วมกิจกรรม และนำไปต่อยอดขยายผลให้เกิดประโยชน์ โดยรวมต่อสังคม ซึ่งในการทำกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการเยี่ยมชม และศึกษาโครงการของภาคเอกชนที่ประสบความสำเร็จ จากการน้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจพัฒนา ให้เกิดการเรียนรู้ และความเข้าใจในเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถสร้างให้เกิดธุรกิจที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นบทพิสูจน์ของหลักการ “ทฤษฎีใหม่ 3 ขั้น” ที่สร้างความเป็นเศรษฐีได้อย่างยั่งยืน และทำให้ทุกคนเห็นภาพความเชื่อมโยง ในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กับเป้าหมายการพัฒนา 17 ข้อของสหประชาชาติ UNSDG 2030”

“นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ยังได้รับความรู้จากกกิจกรรม Mind Spa เปิดหัวใจสู่การเรียนรู้ รับฟังบรรยายจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ดร. ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี รศ. นพ. สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และร่วมกิจกรรม Workshop ถอดรหัสนวัตกรรมศาสตร์พระราชา เรียนรู้นวัตกรรมสื่อการสอนสำหรับเยาวชน ในศตวรรษที่ 21 Interactive Board Game จากวิทยากร อาจารย์ อดุลย์ ดาราธรรม นายกสมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย เพื่อนำไปพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ สำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่และการพัฒนานวัตกรรมแบบก้าวกระโดด สำหรับองค์กรต่อไป”

ด้าน นายชรินทร์ กล่าวว่า “ เราปลูกพืชทุกชนิดที่กิน กินพืชทุกชนิดที่ปลูก เหลือก็นำออกขายบนพื้นที่ 8 ไร่สามารถปลูกไม้ผลนานาชนิดให้อยู่ด้วยกัน ทั้ง มะม่วง มะละกอ ขนุน ชมพู่ ลำไย พืชผักสวนครัวและอื่นๆ แต่ที่ทำรายได้อย่างต่อเนื่อง คือ ฝรั่ง ที่มีผลผลิตออกทั้งปี โดยทุกๆ 10 วันสามารถเก็บเกี่ยวผลฝรั่งได้ 3 ตัน หรือ 3,000 กิโล ส่งตลาดในราคาขายส่งได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 35 บาท คำนวณคร่าวๆเฉพาะผลไม้ฝรั่ง ทำรายได้ให้เป็นแสนต่อเดือน หลักคิดอีกเรื่องที่แนะนำคือ อย่านำรายได้ที่เราได้มาใช้ทั้งหมด เราต้องเก็บออมไว้ ส่วนหนึ่งก่อนค่อยใช้เงิน”

นาย ศิวโรฒ จิตนิยม วิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ประธานสถาบันการเงินชุมชน กล่าวว่า “แนวคิดธนาคารความดี ของตำบลบ้านหนองสาหร่าย ประสบความสำเร็จในการพัฒนาชุมชน ด้วยการปรับเป้าหมายชีวิต จากเดิมที่ใช้ “เงิน” เป็นปัจจัยหลัก ให้ใช้ “ความสุข” เป็นเป้าหมายแทน คือการมีความสุขร่วมกันทุกคน ปัจจุบันหนองสาหร่ายมีสถาบันการเงิน เรียกว่าธนาคารความดี ด้วยหลักคิดง่ายๆ คือถ้าใครทำความดี สามารถเอาความดี มาทำค้ำประกันเงินกู้ได้ ตามหลัก 23 ข้อของธรรมนูญความดีชุมชน เช่น ถ้าใครมีความดี 4.ข้อ กู้ได้ 20,000 บาท / 8.ข้อได้ 40,000 บาท / 10 ข้อ ได้ 60,000 บาท หรือทำดี 18. ข้อ กู้ได้ 15,000 บาท โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย และถ้าความดีครบ 23 ข้อ สามารถกู้ได้ 20,000 บาทไม่ต้องเสียดอกเบี้ย และหลังจากนำธนาคารความดีเข้ามาใช้ ช่วยให้หนี้นอกระบบ หายไปจากตำบลหนองสาหร่าย ได้ภายในระยะเวลา 3 ปี สิ่งนี้คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนมาก สำหรับเส้นทางสู่ความเป็นเศรษฐีอย่างยั่งยืน และมีความสุข”

ด้าน อาจารย์ ไตรภพ โคตรวงษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัด ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า “มีความสนใจในเรื่องการนำเอาแนวคิด จากวิทยากรและโมเดลหนองสาหร่าย ไปปรับใช้ อาทิ ในเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินของชาวบ้าน เพราะปัญหาหลักของชาวบ้านขณะนี้ คือหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบ อีกทั้งสามารถดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อให้ก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านการลดความเหลื่อมล้ำ และปัญหาความยากจนของชุมชน โดยจะนำไปวางแผนและพัฒนา ต่อยอดขยายผลกับชุมชน ในตำบลวังเย็น จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งการได้มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ช่วยให้เกิดไอเดียและมีโอกาสได้แลกเปลี่ยน ประสบการณ์กับเพื่อนอาจารย์และวิทยากร นับว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างมาก”

Related Posts

Send this to a friend