‘แสนสิริ’ รั้งแชมป์ ผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มีผลประกอบการรายได้-กำไร สูงสุดไตรมาส 1/67

พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) เผยข้อมูลรายได้และกำไรสุทธิของผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายในตลาดหลักทรัพย์ ณ ไตรมาส 1/2567 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2567) พบว่าช่วงไตรมาส1/2567 บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 โดยเฉพาะในส่วนของรายได้ถือเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีรายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท (10,170 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิมากเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 1,315 ล้านบาท
นายสุรเชษฐ์ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ เปิดเผยว่า กำไรในไตรมาส 1/2567 ของบริษัทผู้ประกอบการส่วนใหญ่ลดลงแบบชัดเจน เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เพราะมาตรการอสังหาฯ สิ้นสุดลง ขาดแรงจูงใจ ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์และทิศทางของรัฐบาลก่อน ทำให้กำไรในไตรมาส 1/2567 แบบรายบริษัท มีเพียงกลุ่มแสนสิริและพฤกษาเท่านั้นที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2566
สำหรับข้อมูลรายได้และกำไรสุทธิของผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายในตลาดหลักทรัพย์ ณ ไตรมาส1/2567 พบว่า
อันดับ 1 แสนสิริ รายได้รวม 10,170 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท
อันดับ 2 เอพี (ไทยแลนด์) รายได้รวม 7,968 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,008 ล้านบาท
อันดับ 3 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ รายได้รวม 7,804 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,231 ล้านบาท
อันดับ 4 ศุภาลัย รายได้รวม 4,674 ล้านบาท กำไรสุทธิ 614 ล้านบาท
อันดับ 5 พฤกษา โฮลดิ้ง รายได้รวม 4,171 ล้านบาท กำไรสุทธิ 65 ล้านบาท
อันดับ 6 เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น รายได้รวม 4,024 ล้านบาท กำไรสุทธิ 183 ล้านบาท
อันดับ 7 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ รายได้รวม 3,524 ล้านบาท กำไรสุทธิ 159 ล้านบาท
อันดับ 8 ออริจิ้น รายได้รวม 3,213 ล้านบาท กำไรสุทธิ 571 ล้านบาท
อันดับ 9 คิวเฮ้าส์ รายได้รวม 1,797 ล้านบาท กำไรสุทธิ 490 ล้านบาท
อันดับ 10 โนเบิล รายได้รวม 1,787 ล้านบาท กำไรสุทธิ 79 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดอสังหาฯ ของรัฐบาลที่ประกาศออกมาเมื่อช่วงวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นสัญญาณบวกที่ดีซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัย แต่อาจจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 เป็นต้นไป ดังนั้นรายได้และกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1/2567 เกิดจากการดำเนินการของผู้ประกอบการแต่ละรายผ่านการจัดโปรโมชันหรือนโยบายส่งเสริมการขายของบริษัทเท่านั้น
ส่วนการขยายเพดานของมูลค่าที่อยู่อาศัยที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้จากเดิมเพียงแค่ 3 ล้านบาทขึ้นไปถึง 7 ล้านบาทต่อยูนิต ทำให้ครอบคลุมสินค้าถึง 85% ของตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย จึงเป็นที่คาดการณ์ว่าจะทำให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2567 มากกว่าปีก่อนหน้าประมาณ 5–6% คิดเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์มากถึง 1.1 ล้านบาท และส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 1.8% ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายน่าจะมีมาตรการทางการตลาดควบคู่ไปด้วย
ขณะที่ผู้ประกอบการที่สร้างรายได้เข้ามาแล้วในระดับสูงอย่างแสนสิริ มีโอกาสที่จะครองอันดับที่ 1 ไปจนถึงสิ้นปีนี้อีกครั้ง แต่ผู้ประกอบการทุกรายยังมีโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นในปีนี้จากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลและการฟื้นตัวของกำลังซื้อที่มีแนวโน้มเริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี2567 ถือเป็นปีที่ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาฯ ต้องใช้ความระมัดระวังในการบริหารจัดการความเสี่ยงของตนเอง และบริหารจัดการสต็อกคงค้างในส่วนของบริษัทให้สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาล อีกทั้งยังต้องบริหารการเปิดขายโครงการใหม่ให้ต่อเนื่อง รวมทั้งยังต้องมีการบริหารความเสี่ยงในส่วนของกำลังซื้อหรือผู้ที่สนใจจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองด้วย