วว.จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ 3 หลักสูตร เพื่อพัฒนาศักยภาพเกษตรกร ปลูกมะม่วงหิมพานต์ จ.น่าน

ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผย จากการลงพื้นที่ของทีม วว. เพื่อสำรวจและเก็บข้อมูล พบว่าเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงหิมพานต์ ส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และความเข้าใจ ในเรื่องการจัดการแปลงที่ดี ทำให้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้คุณภาพ ไม่เป็นที่ต้องการของผู้รับซื้อ อีกทั้งเกษตรกรยังไม่ได้ตระหนักถึง การพัฒนาด้านคุณภาพมากนัก ทำให้ผลผลิตบางส่วนมีการปะปนของเมล็ดที่ไม่ดี เช่น เมล็ดลีบ แบน เน่า เสีย เป็นต้น เมื่อนำไปจำหน่ายต่อผู้รับซื้อ จึงไม่นิยมรับซื้อ และอาจทำให้ราคาผลผลิตมีการปรับลดลง ตามคุณภาพของเมล็ดมะม่วงหิมพานต์
ดังนั้นเพื่อส่งเสริมพัฒนาเกษตรกร ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น พร้อมแก้ไขปัญหาดังกล่าว วว.จากการสนับสนุนทุนวิจัยโดย หน่วยบริหารจัดการทุน ด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) จึงได้ดำเนิน โครงการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร และผู้ประกอบการชุมชน เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่ธุรกิจมะม่วงหิมพานต์ ณ จังหวัดน่าน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูก มะม่วงหิมพานต์ในอันดับต้นๆของประเทศ
ดร.ชุติมา กล่าวว่า “ทั้งนี้มะม่วงหิมพานต์ช่วยสร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ประกอบการจังหวัดน่าน มีมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 100 ล้านบาทต่อปี จากการสำรวจข้อมูลโดย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า จังหวัดน่านมีพื้นที่เพาะปลูกมะม่วงหิมพานต์ จำนวน 23,090 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 13,554 ไร่ มีผลผลิตรวม 6,573,690 กก./ปี พื้นที่ปลูกส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอนาหมื่น,แม่จริม,เมืองน่าน และสันติสุข มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 10,077 บาท/ไร่ (เริ่มให้ผลผลิต ในปีที่ 3 และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ระยะยาว) ให้ผลผลิตเป็นเมล็ดสด ไม่กะเทาะเปลือกเฉลี่ย 485 กก./ไร่ คิดเป็นผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย (กำไร) 8,107.50 บาท/ไร่ หรือ 16.72 บาท/กก.ราคาที่เกษตรกรขายได้ 36.50 บาท/กก.ด้านการจำหน่ายผลผลิต ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 จำหน่ายให้แก่พ่อค้าในท้องถิ่น และอีกร้อยละ 10 จำหน่ายตรงให้โรงงานแปรรูปในจังหวัด เพื่อแปรรูปเป็นเมล็ดกะเทาะเปลือกดิบ และอบพร้อมรับประทาน”
ทั้งนี้มะม่วงหิมพานต์เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูง โดยเฉลี่ย 6 เมตร (สามารถสูงได้ถึง 12 เมตร) ลำต้นเนื้อไม้แข็ง มีกิ่งแขนงแตกออกเป็นพุ่มทรงกลม ถึงกระจาย เปลือกหนาเรียบมีสีน้ำตาลเทา ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวเรียงเวียน ดอกออกเป็นช่อกระจาย มีสีขาวหรือสีเหลืองนวลและจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู ผลคล้ายผลชมพู่หรือลูกแพร์ ที่ปลายผลมีเมล็ด 1 เมล็ดคล้ายรูปไต มะม่วงหิมพานต์ที่ปลูกอยู่ทั่วโลก มีมากกว่า 400 สายพันธุ์ ในประเทศไทยนิยมปลูกพันธุ์ศรีสะเกษ พันธุ์ศิริชัย และพันธุ์เกาะพยาม มะม่วงหิมพานต์จะเริ่มให้ผลผลิตปีที่ 3 โดยจะเริ่มออกดอกประมาณเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ หลังจากดอกบานประมาณ 2 เดือน ผลจะเริ่มแก่และเก็บเกี่ยว ประมาณเดือนเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม โดยจะมีผลผลิตมากที่สุดในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
สำหรับโครงการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร และผู้ประกอบการชุมชน เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่ธุรกิจมะม่วงหิมพานต์จังหวัดน่าน ดำเนินการอบรมเชิงปฏิบัติการ ให้แก่เกษตรกร จำนวน3 หลักสูตร ดังนี้
1.การจัดการคุณภาพมะม่วงหิมพานต์ (การตัดแต่งกิ่ง) ในระยะที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ มีขนาดเล็กยังไม่ให้ผลผลิต ควรริดกิ่งข้างชิดพื้นดินออก ทำให้ส่วนลำต้นสูงจากพื้น 1-1.20 เมตร หรือมีกิ่งง่ามแรกสูงจากพื้นมากๆ จะได้สภาพต้นที่สมบูรณ์ และให้ผลผลิตดีเมื่อโตขึ้น ด้วยขนาดทรงพุ่มใหญ่ กิ่งภายในระเกะระกะ จำเป็นต้องตัดกิ่งภายในทรงพุ่มอยู่เสมอ นอกจากนี้ทำการเตรียมต้นให้สมบูรณ์ โดยตัดแต่งเพื่อการแตกยอดใหม่ ลำดับแรก ตัดกิ่งกระโดง กิ่งในทรงพุ่ม กิ่งคดงอ กิ่งชี้ลง กิ่งไขว้ กิ่งหางหนู กิ่งเป็นโรค ภายในทรงพุ่มควรให้โปร่ง จนแสงส่องผ่านลงไปถึงโคนต้นได้มะม่วงหิมพานต์จะออกดอกติดผล ที่ปลายยอดของกิ่งนอกทรงพุ่ม ดังนั้นควรตัดกิ่งในทรงพุ่มทั้งหมด และเพื่อป้องกันทรงพุ่มทึบเกินไป ให้ตัดชิดลำกิ่งประธานด้วย
นอกจากนี้การตัดยอดกิ่งประธาน ณ ความสูงต้นตามต้องการ ช่วยให้แสงแดดผ่านจากยอดเข้าสู่ภายในทรงพุ่มได้อย่างทั่วถึง ช่วยกำจัดเชื้อราและช่วยควบคุม ขนาดความสูงทรงพุ่มได้ด้วย มะม่วงหิมพานต์จะออกดอก หลังจากกระทบหนาวได้ระยะหนึ่ง ดังนั้นควรตัดแต่งกิ่งเพื่อเรียกใบอ่อนในช่วงต้นหน้าฝน แล้วเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุง จะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์เต็มที่ ดีกว่าการตัดแต่งกิ่งในช่วงอื่น จากการตัดแต่งกิ่ง และดูแลต้นมะม่วงหิมพานต์อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ต้นมะม่วงหิมพานต์ มีความแข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น
2.การใส่ปุ๋ยและการจัดการเพื่อเพิ่มผลผลิต ในแปลงมะม่วงหิมพานต์ การเพิ่มผลผลิตมะม่วงหิมพานต์ เพื่อให้ติดดอกและมีผลผลิตเพิ่มขึ้น ควรใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงต้น ให้เจริญเติบโตทั้งทางดินและทางใบ โดยใช้ได้ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี หรือใช้ปุ๋ยทางใบโดยการฉีดพ่นด้วยฮอร์โมน ควรใส่ปุ๋ยในอัตราส่วนที่เหมาะสม ตามอายุของต้นมะม่วงหิมพานต์ โดยต้นที่เพิ่งเริ่มปลูกช่วงแรกจะใช้ปริมาณปุ๋ยเพื่อการเติบโต เมื่ออายุต้นเพิ่มมากขึ้น จะต้องใช้ปริมาณปุ๋ยเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในการบำรุงต้น เพิ่มธาตุอาหาร เพิ่มช่อดอกและบำรุงเมล็ด เพื่อให้ได้ผลผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยถือหลักการว่า หากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 90 เซนติเมตร (3 ฟุต) เหนือพื้นดินขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 เซนติเมตร (1 นิ้ว)ให้ใส่ปุ๋ย 1 กิโลกรัม หากต้นมีขนาดอื่นให้ใส่ปุ๋ยมาก หรือน้อยตามสัดส่วน เช่น ต้นเล็กใส่ปุ๋ย 0. 5 กิโลกรัมต่อต้น ต้นใหญ่ใส่ปุ๋ยตั้งแต่ 2.5-5.0 กิโลกรัมต่อต้น และควรแบ่งใส่ปุ๋ยตามปลายทรงพุ่ม 3 ส่วน และที่โคนต้น 1 ส่วน ควรให้ปุ๋ยต้นมะม่วงหิมพานต์ปีละ 2-3 ครั้ง โดยช่วงที่เหมาะสมในการให้ปุ๋ย
3.การจัดการคุณภาพมะม่วงหิมพานต์ (ช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิต) มีความสำคัญเนื่องจากจะช่วยให้ผลผลิตมีการควบคุมคุณภาพ ได้ผลผลิตที่ดีตั้งแต่ต้นทาง ช่วยลดปัญหาเมล็ดเสีย หรือไม่ได้คุณภาพ ก่อนส่งมอบหรือจำหน่ายผลผลิตให้ผู้ซื้อต่อไป ในการเก็บมะม่วงหิมพานต์ ควรปล่อยให้ผลแก่และร่วงลงมาจากต้น เมื่อเก็บแล้วให้บิดเมล็ดออกจากผลทันที เพื่อป้องกันเชื้อราเข้าทำลายเมล็ด โดยมีเทคนิคในการบิดเมล็ดผลเทียมออก ด้วยการใช้เชือกไนร่อน พันให้เชือกอยู่ระหว่างผลปลอม กับเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ แล้วทำการดึงเชือกที่พันไว้ เทคนิคนี้จะทำการตัดเนื้อกับเมล็ดออก โดยไม่มีเศษเนื้อผลเทียมติดมากับเมล็ด
จากนั้นนำเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ มาล้างน้ำทำความสะอาด เพื่อล้างเศษดินหรือสิ่งสกปรกออก แล้วคัดแยกเมล็ดที่เน่าเสียไม่ได้คุณภาพออก การคัดเมล็ดเสียทำได้โดยนำเมล็ดไปแช่น้ำ เมล็ดที่มีคุณภาพจะจมน้ำ ส่วนเมล็ดที่ไม่ได้คุณภาพจะลอยน้ำ เมื่อเมล็ดผ่านการทำความสะอาด แล้วนำไปตากแดดเพื่อลดความชื้นอย่างน้อย 2-3 วัน จากนั้นทำการคัดขนาด/คัดเมล็ด ที่ไม่ได้คุณภาพแบบง่าย ด้วยสายตาหรือใช้เครื่องคัดขนาด ในการเก็บเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ต้องใส่กระสอบที่มีการระบายอากาศได้ดี วางเก็บไว้ในโกดังที่แห้งสะอาด มีผ้าคลุม เพื่อรอการจำหน่ายต่อไป
จากการดำเนินโครงการฯ โดย วว. ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเกษตรกร ผู้ปลูกมะม่วงหิมพานต์ จำนวน 3 กลุ่มในพื้นที่ อ.ภูเพียง ที่สามารถรวบรวมผลผลิตในพื้นที่ เพื่อจำหน่ายร่วมกัน ทำให้เกษตรกรกำหนดราคาขายได้ในระดับหนึ่ง และเกิดข้อตกลงภายในกลุ่ม เพื่อจัดการผลผลิตให้ได้มาตรฐานเพิ่มขึ้น เพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้รับซื้อ นอกจากนี้ในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกร ต.น้ำพาง อ.แม่จริม ซึ่งได้รับองค์ความรู้ในการจัดการ คุณภาพเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ และจะใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปนั้น
ปัจจุบันเกษตรกรที่เป็นสมาชิกในกลุ่ม ได้นำความรู้ด้านจัดการคุณภาพของเมล็ดดิบ ก่อนนำมาจำหน่ายที่กลุ่มมาใช้ ทำให้กลุ่มสามารถรับซื้อเมล็ด ที่ได้คุณภาพเพิ่มขึ้น และยังช่วยลดปริมาณเมล็ดดิบ ที่เสียหายก่อนนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูป (กะเทาะเปลือก) ได้กว่าร้อยละ 10-15 นอกจากนี้กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ยังสามารถแก้ไขปัญหาจากความชื้นของเมล็ดดิบที่จัดเก็บไว้ในสต็อกจากบรรจุภัณฑ์ โดยเป็นองค์ความรู้ที่ได้รับจาก วว.ในการจัดเก็บเมล็ดดิบ ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บเมล็ดดิบใหม่ และเกิดการพัฒนาสถานที่จัดเก็บ ทำให้กลุ่มฯพัฒนาให้เป็นจุดรับซื้อผลผลิตเมล็ดดิบ จากเกษตรกรภายในชุมชนและพื้นที่ข้างเคียงได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ และใช้ทรัพยากรในพื้นที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
นับเป็นความภาคภูมิใจของ วว.และ บพท.ที่ได้ร่วมสร้างสรรค์ดำเนินงานโครงการฯ ซึ่งมี Impact ต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม และพร้อมจะเป็นโมเดลความสำเร็จ สู่การขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆของประเทศ ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของ วว.ในการดำเนินงานโดยใช้องค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ขับเคลื่อนและตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนและประชาชน ระดับฐานรากในพื้นที่ต่างๆ สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area Based) ร่วมกับหน่วยงานและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง เป็นการพัฒนางาน วทน.อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน