จุฬาฯ จับมือ สสส. ออกแบบ ‘เมืองเดินได้-เมืองเดินดี’ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน เสริมคุณภาพชีวิตคนเมือง
ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดำเนินโครงการ “เมืองเดินได้ เมืองเดินดี GoodWalk Thailand” ตั้งแต่ปี 2557 จนปัจจุบัน พร้อมใช้ดัชนี GoodWalk Score เลือกพื้นที่นำร่อง พัฒนาเป็นย่านเดินได้ เดินดีในกรุงเทพ และอีกหลายเมืองทั่วประเทศ มั่นใจเมืองเดินได้จะช่วยลดมลภาวะ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยว เสริมสร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาวะคนเมือง
รศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการของศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC-CEUS) จุฬาฯ กล่าวภายในงาน “GOODWALK FORUM THAILAND 2023 ก้าวสู่ทศวรรษแห่งการพัฒนาเมือง ด้วยยุทธศาสตร์เมืองเดินได้-เมืองเดินดี” เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า เมืองเดินได้-เมืองเดินดี ไม่ใช่แค่เรื่องปรับปรุงคุณภาพทางเท้า หรือขยายทางเท้า แต่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาเมืองของประเทศไทย ที่ตอบโจทย์ความท้าทายอันหลากหลายของเมือง ทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม สุขภาวะ การเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และสังคมผู้สูงอายุ
จากงานวิจัยหลายชิ้นในต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างและสภาพแวดล้อมของเมืองส่งผลต่อวิถีชีวิตและกิจกรรมทางกายของคนเรา ซึ่งการพัฒนาเมืองให้เป็น “เมืองเดินได้-เมืองเดินดี” นั้นมีประโยชน์หลายประการ ได้แก่
1.ผู้คนสุขภาพดีขึ้น ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกประมาณการว่า ในแต่ละปี การเสียชีวิตของประชากรโลกเกือบ 1.9 ล้านคน มาจากการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ ดังนั้น การจัดโครงสร้างของเมืองที่เอื้อให้ผู้คนได้เดินมากขึ้น จะช่วยส่งเสริมสุขภาพของคนเมือง ให้มีกิจกรรมทางกายมากขึ้น 2-3 เท่า ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน และโรคอ้วน ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือด
2.เศรษฐกิจดีขึ้น โดยเฉพาะ SMEs เนื่องจากย่านชุมชนในเมืองที่มีทางเท้าไปถึงจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ กระจายรายได้ของเมืองสู่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก รักษาทั้งเศรษฐกิจเดิมและเพิ่มเศรษฐกิจใหม่ นอกจากนี้ ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในย่านเดินได้จะมีมูลค่าสูงกว่าย่านที่เดินไม่ได้อีกด้วย อีกทั้ง ผลการวิจัยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า 49 เปอร์เซ็นต์ของคนรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Gen Me มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่จะเลือกย่านที่อยู่อาศัยก่อนเลือกงาน และมักจะเลือกอยู่ในย่านที่เดินได้-เดินดี
3.บ่มเพาะนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ (cultural creative incubation) เมื่อเมืองเดินได้ เดินดี ผู้คนก็ออกมาทำกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น ดึงดูดกลุ่มผู้มีความสามารถพิเศษและเหล่าศิลปินให้มาแสดงความสามารถ
4.เกิดพื้นที่ความสัมพันธ์ทางสังคมสำหรับทุกคน (Inclusive Society) เมื่อผู้คนออกมาเดินกันมากขึ้น จะนำไปสู่การมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เกิดความรู้สึกผูกพันกับถิ่นที่อยู่ รู้จักคนในละแวกเดียวกัน สร้างความปลอดภัยในชุมชน มีนัยยะในการส่งเสริมความเท่าเทียมในสังคม นอกจากนี้ ยังช่วยผู้สูงวัยที่จะไม่เหงาติดบ้านอีกต่อไป แต่มีพื้นที่ปลอดภัยนอกบ้านให้ออกมาใช้ชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ
สำหรับโครงการนี้ ได้พัฒนาเว็บไซต์ GoodWalk เพื่อเป็นช่องทางนำเสนอเรื่องราว ข่าวสาร มุมมองเกี่ยวกับเมืองเดินได้ เมืองเดินดี ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีไฮไลต์ คือแผนที่ ‘GoodWalk Score’ ที่มีการจัดอันดับพื้นที่ “เดินได้” และ “เดินดี” ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด
รศ.ดร.นิรมล กล่าวว่า ‘เมืองเดินได้’ คือพื้นที่หรือย่านของเมืองที่จุดหมายปลายทางในชีวิตประจำวันของผู้คนอยู่ในระยะที่เดินเท้าถึง หรือประมาณ 500-800 เมตร มีแหล่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของผู้คน ประกอบด้วย แหล่งงาน สถานศึกษา อุปโภค-บริโภค นันทนาการ ธนาคาร/ธุรกรรม และขนส่งสาธารณะ ส่วน ‘เมืองเดินดี’ เป็นเมืองที่มีการออกแบบคุณภาพการเดินให้น่าเดิน เดินสะดวก ปลอดภัย ความกว้างทางเท้าเพียงพอ ไม่มีสิ่งกีดขวาง แสงสว่างเพียงพอ สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเดิน ความร่มรื่นของทางเท้า เป็นต้น
ในกรุงเทพมหานคร พื้นที่ที่ได้คะแนน ‘เดินได้’ สูงสุด คือ ย่านสยามสแควร์ ข้าวสาร และเขตบางรัก ตามลำดับ ส่วน ‘เดินดี’ คือ ถนนราชวงศ์ ถนนจักรพงษ์ ถนนลาดหญ้า ซอยสยามสแควร์ 7 ถนนพระราม 1 ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการประเมินค่าการเดินดี ในต่างจังหวัดด้วย เช่น ในจังหวัดเชียงใหม่ ย่านที่เข้าข่ายเดินได้-เดินดี ได้แก่ ย่านช้างเผือก ย่านท่าแพ ตลาดวโรรส เป็นต้น
ทั้งนี้ หนึ่งในย่านที่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงคือย่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากการศึกษาและสำรวจพื้นที่ พบว่าย่านปทุมวัน สยาม สามย่าน เป็นพื้นที่ที่มีค่าดัชนีเดินได้มากที่สุดในกรุงเทพและประเทศไทย เนื่องจากเป็นย่านที่มีจุดหมายปลายทางในชีวิตประจำวันในระยะที่เดินถึง ไม่ต้องพึ่งรถยนต์ในการเดินทาง ทางโครงการฯ จึงร่วมมือกับหลายภาคส่วนในมหาวิทยาลัย ทำผังแม่บท CU2040 Masterplan: ผังแม่บทจุฬาฯ ศตวรรษที่ 2 “ปรับ-เปลี่ยน-เปิด” เพื่อทุกคน
นอกจากย่านจุฬาฯ แล้ว ทีมโครงการฯ ยังร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ในโครงการกรุงเทพฯ 250 เพื่อพลิกเมืองเก่าให้น่าอยู่ ให้กรุงเทพเป็นมหานครระดับโลก ฉลองวาระ 250 ปีกรุงเทพฯ ในปี 2575 โดยร่วมฟื้นฟู 17 เขตเมืองชั้นในของกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองเดินได้ ได้แก่ ย่านราชดำเนินกลาง ย่านท่าช้าง-ท่าเตียน ย่านบ้านหม้อ ย่านบางขุนนท์-ไฟฉาย ย่านกะดีจีน-คลองสาน ย่านถนนโยธี-ราชวิถี ย่านชุมชนซอยโปโล-ร่วมฤตี ย่านตลาดน้อย ย่านสะพานปลา-ยานนาวา-ถนนตก ย่านวงเวียนใหญ่ และฟื้นฟูเมืองโซนที่อยู่อาศัยในย่านจรัญสนิทวงศ์ ยานาวา-บางคอแหลม
ทั้งนี้ ด้วยความท้าทายอยู่ที่โจทย์ของแต่ละเมือง ซึ่งไม่เหมือนกัน แต่ละเมืองมีเรื่องราวอัตลักษณ์เมือง ต้นทุนเมืองและต้นทุนทางวัฒนธรรมไม่เหมือนกัน ทีมวิจัยของโครงการฯ จึงร่วมมือกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่น ลงพื้นที่พิจารณาจุดแข็งของแต่ละเมือง รวมถึงทำประชาคมเพื่อรับฟังเสียงจากคนในพื้นที่ ร่วมออกแบบเมืองเชื่อมต่อการเดินเท้าให้กลายเป็นเมืองเดินได้-เมืองเดินดี โดยแบ่งออกเป็นเส้นทางมรดกวัฒนธรรม เส้นทางเศรษฐกิจ เส้นทางการเรียนรู้ และเส้นทางสีเขียว เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีและกิจกรรมทางสังคมให้กับคนในชุมชน
รศ.ดร.นิรมล เปิดเผยว่า ล่าสุดโครงการฯ ร่วมพัฒนาเมืองรอง 33 เมืองในแต่ละภูมิภาคร่วมกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่น และจากการดำเนินงาน 9 ปี หลายเมืองเริ่มออกเดินแล้ว ทีมโครงการฯ มั่นใจและเห็นเค้าลางความเป็นไปได้ในการพัฒนา “เมืองเดินได้-เมืองเดินดี” ทั้งในเมืองหลวงและเมืองในระดับภูมิภาค แต่สิ่งที่ยังเป็นโจทย์ท้าทายคือมุมมองของหน่วยงานภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ UDDC-CEUS และภาคีพัฒนา ยังคงผลักดันให้แนวคิดการพัฒนาเมืองเดินได้-เดินดี เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองของประเทศไทย ทั้งนี้ รศ.ดร.นิรมล หวังว่าองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่โครงการนำเสนอ จะได้รับการยอมรับในวงกว้าง และสามารถเป็นหนึ่งในนโยบายและแนวทางหลักของการพัฒนาเมืองในประเทศไทยได้ในอนาคต