วิกฤติการณ์สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบรุนแรงทั่วโลก
ขณะไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก 372 ล้านตัน ชี้ ทุกภาคส่วนต้องเร่งปรับตัว และรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง
ปัจจุบันอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่ประเทศไทยมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 372 ล้านตัน และคาดว่าจะปล่อยสูงสุด 388 ล้านตันคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในอนาคต ถือเป็นอันดับที่ 20 ของโลก แต่ประเทศไทยกลับเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับที่ 9 ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) กล่าวว่า วิกฤติการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมคือปัญหาที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วโลก ปัจจุบันมนุษย์ใช้ทรัพยากรไปแล้วเทียบเท่ากับโลก 1.7 ใบ การใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือมลพิษต่าง ๆ เช่น ปัญหาขยะล้นเมือง ขยะพลาสติกในทะเล การสะสมไมโครพลาสติกในทะเล ที่ส่งต่อการสะสมในร่างกายของมนุษย์ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
ปัญหาข้างต้นส่วนหนึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การทำลายป่า และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นและสภาวะอากาศแปรปรวน นำมาสู่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สังเกตได้จากการละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกที่เพิ่มขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการเกิดภัยพิบัติต่างๆ ที่เพิ่มความถี่และรุนแรงเป็นวงกว้างขวางขึ้น เช่น น้ำท่วมในพื้นที่ทะเลทรายที่เมืองดูไบ หิมะตกในทะเลทราย กระบองเพรชที่เติบโตในประเทศที่มีหิมะ หรือกระทั่งการอุบัติใหม่ของเชื้อโรคที่ถูกแช่แข็งอยู่ในธารน้ำแข็ง
จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ปัจจุบันหลายภาคส่วนเล็งเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่ธรรมชาติ ซึ่งประเทศไทยมีการกำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างภูมิคุ้มกันหรือความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ