นักวิชาการแนะรัฐเร่งประเมินความเสี่ยงกากแคดเมียม สื่อสารถึงประชาชนอย่างตรงไปตรงมา
นักวิชาการแนะรัฐเร่งประเมินความเสี่ยงกากแคดเมียม เรียกร้องให้สื่อสารถึงประชาชนอย่างตรงไปตรงมา และแจ้งผลเป็นระยะ แนะประชาชนสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน
ดร.ณัฐฐา แสงนรินทร์ เหมจินดา อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ขยายผลเข้าตรวจค้นโกดังของบริษัท ล้อโลหะไทย แมททอล จำกัด เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร หลังทราบว่ามีการซุกซ่อนกากแคดเมียมมากกว่า 300 ตัน และยังเชื่อมโยงกับการตรวจพบกากแคดเมียมอีกจำนวนกว่า 1.5 หมื่นตัน ที่ จ.สมุทรสาคร
ดร.ณัฐฐา กล่าวว่า ภาครัฐต้องเร่งตรวจสอบสภาพแวดล้อมในละแวกที่พบกากแคดเมียม เพื่อประเมินความเสี่ยงว่ากากแคดเมียมปนเปื้อนในสภาพแวดล้อมใกล้เคียงมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญต่อประชาชนให้ระมัดระวังผลกระทบต่อสุขภาพ โดยแนวทางการวิเคราะห์ความเสี่ยงควรดำเนินทั้ง 3 ขั้นตอน ดังนี้
1.ประเมินความเสี่ยงของแคดเมียม และโลหะหนักชนิดอื่นที่ตรวจพบต่อสุขภาพ เพื่อให้ทราบว่าความเข้มข้นการปนเปื้อนในสภาพแวดล้อมในปริมาณที่ตรวจพบจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร ซึ่งแคดเมียมสามารถเป็นพิษแบบเฉียบพลันหากได้รับในปริมาณสูง แต่ถ้ารับความเข้มข้นต่ำ ๆ อาจแสดงความเป็นพิษแบบเรื้อรัง หรือทำให้เกิดโรคมะเร็งได้
2.การสื่อสารความเสี่ยง เมื่อพบความเสี่ยงของการปนเปื้อนแล้ว ต้องแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดการร่วมกัน และแจ้งต่อประชาชนทันที พร้อมให้คำแนะนำในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ
3.การจัดการความเสี่ยง โดยการฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนแคดเมียมด้วยวิธีการที่ถูกต้อง การใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อให้ผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องรับผิดชอบ
ดร.ณัฐฐา กล่าวว่า ภาครัฐควรประเมินความเสี่ยงสภาพแวดล้อม โดยตรวจสอบสภาพอากาศตั้งแต่จุดที่ขนย้ายกากแคดเมียมตามเส้นทางที่บรรทุกมายังกรุงเทพฯ รวมถึงบริเวณภายในโกดังของโรงงานที่จัดเก็บกากแคดเมียม หากมีการปนเปื้อนภายในต้องขยายวงรัศมีการตรวจสอบออกไปในพื้นที่โดยรอบ ทั้งแหล่งดินเพาะปลูก แหล่งน้ำ และสภาพอากาศโดยรอบ อีกทั้งหากต้องรีบแจ้งผลการประเมินต่อประชาชนให้ทราบถึงสถานการณ์เป็นระยะ ๆ
“เป็นหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่ต้องเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่โดยรอบของโกดังที่จัดเก็บ ทั้งแหล่งน้ำ พื้นที่เพาะปลูก และในอากาศ ซึ่งต้องเริ่มต้นจากโกดังที่จัดเก็บก่อน หากพบว่ามีการปนเปื้อนก็ต้องขยายวงรัศมีการตรวจสอบออกไปจนกว่าจะไปพบว่าพื้นที่ใดบ้างที่ไม่มีการปนเปื้อนแล้ว จากนั้นก็ต้องมีแนวทางการจัดการกากแคดเมียมที่ค้นพบอย่างถูกต้องต่อไป เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชนได้อีก” ดร.ณัฐฐา กล่าว
ดร.ณัฐฐา กล่าวอีกว่า ประชาชนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงโกดังที่จัดเก็บกากแคดเมียม ให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการสูดดมสารแคดเมียมที่อาจกระจายตัวอยู่ในอากาศ รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงที่เป็นรอยต่อของกรุงเทพฯ อย่าง จ.นนทุบรี ก็ต้องเฝ้าระวังด้วยเช่นกัน
“สารแคดเมียมมีความอันตรายและเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสูดดมในอากาศ การสัมผัสทางผิวหนัง และการรับประทานพืชผักผลไม้ที่ปนเปื้อนจากการเพาะปลูก ดังนั้น ประชาชนอาจต้องตระหนักรู้ และเมื่อได้รับข่าวสารเกี่ยวกับสารเคมี หรือสารพิษ ก็ต้องคอยรับฟังข้อมูลจากภาครัฐ และกรองข่าวสารนั้นเพื่อความถูกต้อง พร้อมกับหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้รู้ตัวว่าต้องระวังขนาดไหน แต่สิ่งสำคัญคือภาครัฐต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาต่อประชาชน” ดร.ณัฐฐา กล่าว