ENVIRONMENT

นักวิชาการ TEI เผย ทั่วโลกเผชิญปัญหาปะการังฟอกขาว

จากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ขณะไทยติดอันดับ top 10 ประเทศที่มีปัญหาขยะในทะเล แนะทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ปัญหา ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม ระบุว่า นักวิทยาศาสตร์มีการประเมินว่าถ้าอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าระดับปกติ 1.5 องศาเซนติเกรด ปะการังในโลกจะถูกทำลายกว่าร้อยละ 70-90 และหากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น 2.0 องศาเซนติเกรด ปะการังจะถูกทำลายสูงถึงร้อยละ 99 ซึ่งระบบนิเวศแนวปะการังเป็นแหล่งอาศัยและเพาะพันธุ์สัตว์น้ำที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง

ดร.วิจารย์ กล่าวว่า ช่วงสองปีที่ผ่านมาอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลต่อแนวปะการังทั่วโลก ซึ่งไทยก็กำลังเผชิญกับภาวะปะการังฟอกขาว กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สำรวจแหล่งปะการังหลายพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล พบว่าเกิดปะการังฟอกขาวอย่างรุนแรงจากระดับอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น จนต้องประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเล 12 แห่ง ทั้งฝังทะเลอันดามันและอ่าวไทย

สำหรับพื้นที่ที่เริ่มเกิดปะการังฟอกขาวแล้วกว่าร้อยละ 50-70 ได้แก่ หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน หมู่เกาะชุมพร และอยู่ระหว่างสำรวจเพิ่มเติมอีกในหลายพื้นที่ โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งสำรวจติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวในปี 2567 บริเวณเกาะโลซิน จ.ปัตตานี พบปะการังฟอกขาว ร้อยละ 40 สีจางร้อยละ 30 และยังอยู่ในสภาพปกติเพียงร้อยละ 30 โดยปะการังที่ฟอกขาว ได้แก่ ปะการังโขด ปะการังช่องเล็ก และกลุ่มปะการังเขากวางแผ่นแบนแบบโต๊ะ

ดร.วิจารย์ กล่าวถึงปัญหาขยะทะเลว่า เป็นปัญหาสำคัญของประเทศและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะขยะพลาสติก การผลิตพลาสติกทั่วโลกปีละกว่า 400 ล้านตัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่มีการจัดการที่ถูกต้อง จะมีปัญหาการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและทะเลได้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีปัญหาขยะในทะเลระดับ TOP 10 ของโลก พร้อมกับอีก 4 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยสร้างขยะพลาสติกประมาณ 2.5 ล้านตันต่อปี ประมาณร้อยละ 13-15 จากขยะชุมชนทั้งหมด ที่มีปริมาณปีละ 28–29 ล้านตันต่อปี โดยขยะร้อยละ 75 ถูกนำไปฝังกลบ หรือเผา หรือกองทิ้ง ทำให้ขยะพลาสติกส่วนหนึ่งเล็ดลอดออกสู่คลอง แม่น้ำ และปลายทางที่ทะเล

นอกจากนี้ มีการประเมินว่าขยะพลาสติก 50-60 ปีที่แล้ว เมื่อลงสู่น้ำหรือทะเลจะดูดย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ เรียกไมโครพลาสติก นาโนพลาสติก ใช้เวลาเป็นร้อยปีในการย่อย เมื่ออยู่ในน้ำจะคล้ายกับแพลงก์ตอน สัตว์น้ำจึงกินเข้าไปและสะสมในส่วนต่าง ๆ ขณะที่มนุษย์ก็ถูกถ่ายทอดไมโครพลาสติกจากการรับประทานสัตว์น้ำต่าง ๆ นอกจากนี้มีการปนเปื้อนในน้ำ เกลือ และระบบนิเวศทางทะเลที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ขณะเดียวกัน ปัญหาน้ำเสียเป็นปัญหาสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อทะเล โดยน้ำเสียจากแหล่งกำเนิดที่ไม่ผ่านการบำบัด จะไหลผ่านแม่น้ำคูคลองต่าง ๆ โดยมีปลายทางอยู่ที่ทะเล ทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนสี เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นที่บางแสน และศรีราชาที่กินบริเวณกว้าง ประกอบกับสภาพอากาศที่ร้อน ขณะที่น้ำเสียจากแหล่งชุมชน ไทยดำเนินการระบบบำบัดน้ำเสียได้เพียงร้อยละ 26 ของน้ำเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมดเท่านั้น

การท่องเที่ยวทางทะเลเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำรายได้ให้ประเทศจำนวนมาก แต่ละพื้นที่จะต้องมีการบริหารจัดการที่ดี โดยเฉพาะการจัดการขยะที่เกิดจากนักท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเข้าไปช่วยดำเนินการทั้งการลงทุน การบริหารจัดการ การดูแลระบบที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ในวันที่ 7 มิถุนายน 2567 จังหวัดกระบี่และชาวเกาะลันตา มีการจัดกิจกรรมเนื่องในวันทะเลโลก หรือวันมหาสมุทรโลก (World Ocean Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มิถุนายนของทุกปี โดยจังหวัดกระบี่จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ภายใต้ชื่อ “การสัมมนาชาวเกาะเพื่อการท่องเที่ยวเกาะอย่างยั่งยืน” ที่มีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นเจ้าภาพ และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยร่วมให้ข้อมูลในส่วนการจัดการสิ่งแวดล้อมบนเกาะ

“โลกกำลังจะเดือด ทะเลกำลังจะร้อน ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะตามมา เป็นปัญหาที่ทุกคนจะได้รับผลกระทบและต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา โดยเร่งรีบแก้ไขปัญหาเดิมและเตรียมพร้อมรองรับกับปัญหาใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ดร. วิจารย์ กล่าวทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat