BUSINESS

HERE Technologies ชี้ธุรกิจลอจิสติกส์เติบโต แต่ยังเผชิญความท้าทายด้านการติดตามและจัดการข้อมูล

HERE Technologies ผู้นำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและข้อมูล Location Data เปิดผลการศึกษา APAC On The Move นำเสนอข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งและลอจิสติกส์ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เกี่ยวกับแนวโน้มและแนวทางปฏิบัติด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนโฉมห่วงโซ่อุปทาน การจัดการยานพาหนะ และการจัดการด้านลอจิสติกส์ โดยอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ของประเทศไทยเติบโตเป็นอันดับ 34 จาก 139 ประเทศ ในดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพลอจิสติกส์ของธนาคารโลก บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพและคุณภาพในบริการลอจิสติกส์ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งประเทศไทยทำคะแนน LPI อยู่ใน 11 อันดับแรกของของประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับสูงในปี พ.ศ. 2566

นายอาบิจิต เซนกุปตา ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายธุรกิจ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอินเดีย บริษัท HERE Technologies กล่าวว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการเชื่อมธุรกิจและผู้บริโภคทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าไว้ด้วยกัน รายงานเผยให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมากของตลาดลอจิสติกส์พร้อมกับศักยภาพการเติบโตที่ยังมีอีกมากรวมถึงนวัตกรรม บริษัทที่ใช้ Location Technology แพร่หลาย ย่อมนำไปสู่โอกาสในการเติบโตสำหรับภาคลอจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนระยะยาว และขยับไปสู่การเป็นลอจิสติกส์ฮับของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ สาระสำคัญจากการศึกษาของ HERE Technologies APAC On The Move 2023 ประกอบไปด้วย

1.พันธมิตรเทคโนโลยีและการนำเทคโนโลยีไปใช้เป็นความท้าทายสำคัญ
มากกว่า 1 ใน 5 ของบริษัทในประเทศไทย (ร้อยละ 22) ระบุว่าความท้าทายในการหาพันธมิตรหรือซัพพลายเออร์ที่เหมาะสม และการคำนวณผลตอบแทนของการลงทุนเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการดำเนินการใช้เทคโนโลยี นอกจากนั้นต้นทุนก็ยังเป็นเรื่องต้องกังวลเช่นกัน บริษัทลอจิสติกส์ในไทยต้องการโซลูชันพร้อมใช้ ติดตั้งง่าย ค่าใช้จ่ายไม่สูง ใช้เวลาไม่นาน และไม่ต้องใช้ทีมงานจำนวนมากกับการยกเครื่องระบบใหม่ทั้งหมด

จากการศึกษาของ HERE ความท้าทายในการผสานรวมซอฟต์แวร์เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ (ร้อยละ 20) ต้นทุนของ Internet of Things -IoT สูง (ร้อยละ 15) และการขาดบุคลากรที่มีทักษะเพื่อใช้และจัดการโซลูชันการติดตาม (ร้อยละ 14) เป็นอุปสรรคหลักในการติดตามสินทรัพย์ลอจิสติกส์และการตรวจสอบการจัดส่ง/สินค้า

2.บริษัทลอจิสติกส์ไทยยังพึ่งพาการติดตามแบบแมนนวล
การระบาดโควิด เผยช่องโหว่ของการเข้าถึงและติดตามข้อมูลด้วยตนเองในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ประมาณ 50% ของบริษัทลอจิสติกส์ ไทยกำลังใช้ซอฟต์แวร์ติดตามสินทรัพย์และตรวจสอบการจัดส่งร่วมกับการป้อนข้อมูลแบบแมนนวลสำหรับติดตามสินทรัพย์ การจัดส่ง และตู้สินค้า ทำให้เกิดช่องโหว่สูงและสร้างความเปราะบางภายในห่วงโซ่อุปทาน แสดงให้เห็นว่าบริษัทจำนวนมากยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น ในขณะที่การติดตามแบบเรียลไทม์และอัตโนมัติ มอบโอกาสในการเร่งสร้างนวัตกรรมและรับมือกับการหยุดชะงักได้ทันท่วงที

3.ใช้เทคโนโลยีระบุตำแหน่งเพื่อเพิ่มการมองเห็นและเพิ่มประสิทธิภาพ
องค์การอนามัยโลกจัดอันดับประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ติดอันดับ 9 ของโลก อุตสาหกรรมลอจิสติกส์ในประเทศไทยอาศัยภาคการขนส่งทางถนนเป็นหลัก ดังนั้น บริษัทลอจิสติกส์ไทยต้องให้ความสำคัญกับการมองเห็นและติดตามข้อมูลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีระบุตำแหน่ง

4.อุตสาหกรรมลอจิสติกส์ไทยมองเทคโนโลยีในอนาคตช่วยเพิ่มศักยภาพไปสู่การเป็น Logistics Hub
บริษัทลอจิสติกส์สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบด้วยการติดตามสถานะแบบเรียลไทม์และข้อมูลด้วยเทคโนโลยี IoT การศึกษายืนยันว่าบริษัทลอจิสติกส์ส่วนใหญ่ในไทยใช้เทคโนโลยี IoT อยู่แล้ว โดยใช้ในแอปพลิเคชัน IoT สำหรับการจัดการสินค้าคงคลัง การจัดการยานพาหนะ และการจัดการห่วงโซ่อุปทานและการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ อีกทั้ง 1 ใน 4 ของบริษัทลอจิสติกส์ไทยวางแผนลงทุนในโดรน (ร้อยละ 41) ปัญญาประดิษฐ์และแมชชีนเลิร์นนิ่ง และบล็อกเชน (ร้อยละ 32)

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat