‘ศิธา’ ลั่นไม่มีความคิด ให้ ส.ส.ในพรรคลาออก เพื่อเปิดทางให้ตัวเองเข้าสภา
‘ศิธา’ มอง เลือกนายก ฯ เหมือนพิธีกรรม ท่องนะโม 3 จบ ชี้ ส.ว. คือคนถือกุญแจทำเนียบ ลั่นไม่มีความคิด ให้ ส.ส.ลาออก เพื่อเปิดทางให้ตัวเองเข้าสภา
วันนี้ (13 ก.ค. 66) ที่อาคารรัฐสภา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคไทยสร้างไทย ระบุถึงการโหวตนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ว่าคงมีธงตามที่ตกลงกันไว้อยู่แล้ว ถึงแม้มีการอภิปรายกันแต่ก็คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งน่าจะมีการโหวตในเวลาประมาณ 17.00 น.
เมื่อถามถึงท่าทีของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หลังลาออกจากการเป็น ส.ส บัญชีรายชื่อพรรคไทยสร้างไทย น.ต.ศิธา ระบุว่าคุณหญิงไม่ค่อยสบาย ตอนแรกมีการลังเลว่าจะมาโหวตนายกรัฐมนตรีเองหรือไม่ แต่ได้ทำการเลื่อนนัดหมอมาหลายครั้ง จนลื่อนไม่ได้จึงต้องเข้ารักษาตัว เลยได้ลาออกและให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน ตอนแรกคุณหญิงมีความกังวลว่าราชกิจจาฯ จะออกไม่ทันแล้วเสียงโหวตจะหาย เมื่อฟื้นจากการรักษาตัวก็ถามว่าราชกิจจาฯ ออกมาหรือยัง ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว
น.ต.ศิธา ยังกล่าวถึงการโหวตนายกรัฐมนตรีว่า ตามกระบวนการประชาธิปไตยตามปกติจบสิ้นไปแล้ว ประชาชน 39 ล้านคน ได้ลงคะแนนเสียงแล้ว แต่กระบวนการเลือกนายกฯ ไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติเพราะมีกระบวนการฝัง ส.ว.ไว้ในรัฐธรรมนูญ เหมือนกับการทำสัญญาอะไรสักอย่างของชาวบ้าน เวลาเอาที่ดินไปจำนอง แต่ดูกฎหมายไม่ดีจึงเสียเปรียบตอนโหวตเลือกรัฐธรรมนูญ ตอนนี้เป็นนิติสงครามที่เกิดขึ้น ถ้ายึดตามตัวอักษรในรัฐธรรมนูญก็จะเห็นได้ว่ากำหนดไว้เป็นแบบนี้ กลไกทำให้การเลือกตั้งเป็นแบบนี้ จะเห็นได้ว่า 39 ล้านเสียงจะเป็นการเลือก ส.ส. เข้าไป แต่การเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นมี ส.ว. 250 คนด้วย
ครั้งหนึ่งเคยมีพรรคการเมืองที่ได้ 377 เสียง แต่ก็โดนกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา แสดงให้เห็นว่าคนที่กุมกุญแจทำเนียบคือ ส.ว. ว่าจะให้ใครเข้า ดังนั้นการที่ประชาชนเลือก ส.ส.เข้าไปจึงไม่มีความหมายในการเลือกนายกรัฐมนตรี
น.ต.ศิธา ยังระบุว่าการที่ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลมาจับมือกันเป็นจิ๊กซอว์ในการเสนอนายก จุดยืนของตนเองคือ ไม่ว่าจะเลือกประธานสภา หรือนายกรัฐมนตรี แค่สองพรรคตกลงกันได้ ก็พร้อมโหวตให้อยู่แล้ว ไม่ได้ระบุว่าจะเป็นใคร เพราะสองพรรคมีคะแนนเสียงที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยมีการเสนอ 3 แคนดิเดตก็ต้องอยู่ที่ ส.ว. อีกว่าจะตกลงหรือไม่ ถ้าไม่ตกลงก็จะเกิดกระบวนการที่สาม ที่อาจจะมีการหยิบพรรคใดพรรคหนึ่งออกและเอาพรรคอื่นเข้ามาในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะมีความวุ่นวายและจะเป็นไปจนกว่า ส.ว. จะพึงพอใจ
“ตรงนี้ผมเรียกว่า เหมือนวิธีทำการท่องนะโมสามจบ จบแรกเป็นแปดพรรคร่วมเสนอพิธา จบที่สองเป็น 8 พรรคร่วมเสนอพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้ามีการจบที่สามจะกลายเป็นว่าจะมีการหยิบพรรคใดพรรคหนึ่งออก ตนเองมองว่าถ้าเป็นแบบนี้ขั้วอำนาจเดิมที่มาจากการยึดอำนาจ จะเข้ามายุ่งเหยิงกับประชาธิปไตย และการแก้รัฐธรรมนูญ รวมทั้งองค์กรอิสระก็จะวุ่นวายอีกยาวนาน ถ้าเราเล่นตามเกมว่าจะดึงพรรคใดพรรคหนึ่งออกก็จะทำให้การสืบทอดอำนาจยาวนานไปอีก” น.ต.ศิธา ระบุ
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า ส.ว. จะปิดสวิตซ์ ส.ว. เอง น.ต. ศิธา ให้ความเห็นว่า ต้องแยกว่าการปิดสวิตซ์คืออะไร ตามรัฐธรรมนูญปกติให้สิทธิแค่ ส.ส. 500 คน เมื่อมีการนำ ส.ว. เข้ามาเป็น 750 คน ดังนั้นการปิดสวิตซ์โดยบอกว่าไม่ออกเสียง ไม่ได้ทำให้ตัวเลขกึ่งหนึ่งลดลง ทำไมถึงไม่เสนอว่า ส.ว. ไม่ต้องโหวตเพื่อทำให้ตัวเลขกลับมาอยู่ที่ 500 หรือโหวตตามเสียง ส.ส. ข้างมากในสภา หรือลาออกแบบที่ ส.ว. ท่านนึงได้ลาออก นั่นคือการปิดสวิตซ์ ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการปิดสวิตช์แต่เป็นการพูดเพื่อลดแรงเสียดทานจากประชาชนมากกว่า
ส่วนการพยายามพูดถึงกฎหมายมาตรา 112 น.ต.ศิธาระบุว่า การขยี้เรื่องนี้ ไม่ได้เป็นผลดีต่อใครเลย ทั้งประเทศชาติและสถาบันหลักของชาติ เพราะฉะนั้นควรถอยการอภิปรายเรื่องนี้ และควรแยกแยะว่าอำนาจอธิปไตย มีบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ การแก้ไขมาตรา 112 เป็นของฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้นไม่ควรใช้ข้ออ้างต่าง ๆ นา ๆ ในการจะไม่โหวตให้นายพิธา
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ว่าจะมีการลาออกของ ส.ส. พรรคไทยสร้างไทย เพื่อให้นายศิธา ได้ดำรงตำแหน่ง ส.ส. น.ต.ศิธากล่าวว่า ไม่ได้มีความคิดและไม่ใช่นิสัยของตนเอง ที่จะให้ใครมาลาออก เพื่อให้ตนเองได้ตำแหน่ง ตนเองไม่ได้มีส่วนในการกำหนดบัญชีรายชื่อ ส.ส. ของพรรค ถ้าจะให้ใครมาลาออกเพื่อตนเอง ก็ไม่เห็นด้วย