รอง ผบ.ตร.ส่งตัวผู้ต้องหาค้ามนุษย์ ‘โรฮิงญา’ 4 ราย ไปรับโทษที่มาเลเซีย
รอง ผบ.ตร.ประสานตำรวจมาเลเซีย ส่งตัว ผู้ต้องหาค้ามนุษย์ ‘โรฮิงญา’ 4 ราย ตามสัญญาผู้ร้ายข้ามแดน ชี้ สะท้อนภาพทางการไทยจริงจังในการปราบปรามการค้ามนุษย์
จากกรณีเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารพบศพผู้เสียชีวิต และศพที่ถูกฝังไว้รวมกันกว่า 30 ศพ ในบริเวณแคมป์คนงานกลางป่าบนเขาแก้ว ในพื้นที่หมู่ 8 บ้านตะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา และจากการขยายผลยังพบหลุมศพในพื้นที่รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย อีกจำนวน 180 ศพ จากการสืบสวนทราบว่าทั้งหมดเป็นศพของชาวโรฮิงญา ที่ลักลอบเข้าราชอาณาจักร และหลบซ่อนบริเวณค่ายกักกันดังกล่าว เพื่อรอส่งต่อไปยังประเทศที่สาม
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้มีการจับกุม และดำเนินคดีผู้ต้องหาซึ่งมีส่วนร่วมกับขบวนการทั้งทหาร ตำรวจ และนักการเมืองท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีการดำเนินคดีค้ามนุษย์ที่สหพันธรัฐมาเลเซียอีกด้วย โดยทางการมาเลเซียได้มีการออกหมายจับ และหมายแดงตำรวจสากล พร้อมประสาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 9 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ ศพดส.ตร. สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ได้รับการประสานความร่วมมือจากทางการมาเลเซีย ได้ 4 ราย เมื่อปี 2564 และส่งมอบตัวให้ทางการมาเลเซียเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่สนามบินดอนเมือง
ล่าสุด วันนี้ (23 มิ.ย. 66) เวลา 10:00 น. ที่สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ร่วมกับเครือภาคประชาสังคม NGOs แถลงข่าวการส่งตัวผู้ต้องหา 4 ราย ไปดำเนินคดีที่ประเทศมาเลเซีย ตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยระบุว่า วันนี้เป็นการดำเนินการร่วมกันของอธิบดีอัยการสูงสุดในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ส่งตัวคนไทยไปรับโทษในต่างแดน เพราะปกติทุกประเทศจะหวงคนของประเทศตัวเอง แต่วันนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความจริงใจ และจริงจังต่อการค้ามนุษย์ หากคนไทยมีการกระทำความผิดในดินแดนไหนก็ตาม เราจะไม่ปกป้องช่วยเหลือคนที่กระทำผิดในต่างแดน
ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือ 5 คน บางส่วนเสียชีวิตไปแล้ว อีกบางส่วนยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเพื่อรับโทษจากความผิดในประเทศไทยก่อน โดยหลังจากนี้ ตนเอง และอธิบดีอัยการจะเดินทางไปติดตามรับฟังการดำเนินคดีที่ศาลในประเทศมาเลเซียด้วย พร้อมกับประสานทางการมาเลเซียให้คุ้มครองผู้ต้องหาคนไทย เพื่อไม่ให้มีการซ้อมทรมานเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ตนเองยังได้มีการประชุมร่วมกับผู้กำกับการสถานีตำรวจที่อยู่ในพื้นที่ติดชายแดนของประเทศไทยทั้งหมด รวมถึง ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ให้เฝ้าระวังเรื่องของการลักลอบขนแรงงานเถื่อนเข้าประเทศ และได้มีการคาดโทษหากพบว่าพื้นที่ไหนปล่อยให้มีการลักลอบเข้ามาในประเทศไทย ผู้กำกับการในพื้นที่นั้นจะถูกลงโทษทางวินัยเป็นอันดับแรก แม้จะเป็นพื้นที่ระหว่างทางก็ตาม