HEALTH

กรมควบคุมโรค เตือนไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 ในช่วงฤดูฝน แนะกลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนปีละ 1 ครั้ง

วันนี้ (10 พ.ค. 66) นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังป่วย ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ และโรควิด-19 ในช่วงฤดูฝน แนะนำกลุ่มเสี่ยงรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะ 7 กลุ่มเสี่ยง คือ หญิงตั้งครรภ์ (อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป) เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปีทุกคน รวมถึงผู้มีโรคเรื้อรัง (ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน) ผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) โรคอ้วน และผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ สามารถรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ พร้อมกับวัคซีนโควิด 19 เพื่อช่วยป้องกันป่วยหนัก และเสียชีวิตจากทั้งสองโรค

นายแพทย์ธเรศ กล่าวว่า “ช่วงนี้ในหลายพื้นที่มีสภาพอากาศแปรปรวน และพายุฝนฟ้าคะนอง ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าประเทศไทย จะเข้าสู่ฤดูฝนประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม กรมควบคุมโรค จึงขอให้ประชาชนป้องกันตนเอง ไม่ให้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยการล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงสถานที่ผู้คนแออัด หรือสวมหน้ากากหากจำเป็นต้องเข้าไป เนื่องจากระยะนี้ใกล้เข้าสู่ฤดูกาลการระบาด ของโรคไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้เป็นช่วงเวลาที่สถานศึกษาใกล้เปิดภาคเรียน หากไม่มีการป้องกันที่ดี อาจมีการแพร่ระบาดของโรคได้ง่าย ในกลุ่มเด็กนักเรียนและเด็กเล็ก สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้สูง มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ตามตัว ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาโดยเร็ว”

“การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะประชากร 7 กลุ่ม ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป,เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปีทุกคน,และผู้มีโรคเรื้อรัง ดังนี้ 1.ปอดอุดกั้นเรื้อรัง 2.หอบหืด 3.หัวใจ 4.หลอดเลือดสมอง 5.ไตวาย 6.ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด 7.เบาหวาน 8.ผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป 9.โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) 10.โรคอ้วน (น้ำหนัก> 100 กิโลกรัม หรือ BMI > 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร) 11.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ที่เสี่ยงสูงต่อภาวะป่วยหนัก และเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีความเสี่ยงป่วยหนัก จากโรคโควิด 19 ด้วยเช่นกัน การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต่อทั้งสองโรคควบคู่กัน จึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญ ที่จะช่วยปกป้องกลุ่มเสี่ยงและคนรอบข้างได้ และปีนี้เริ่มการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันทั้ง 2 โรคพร้อมกัน ภายในวันเดียวกัน โดยฉีดที่ต้นแขนคนละข้าง”

ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่า “สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในปีนี้ เพิ่มขึ้นอย่างน่าจับตา รายงานเฝ้าระวังโดยกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ จำนวน 45,500 ราย มากกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง มีผู้ป่วยเสียชีวิต 1 ราย กลุ่มที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ อายุ 0-4 ปี เท่ากับ 346.2 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาเป็นอายุ 5-14 ปี (244.4) และอายุ 15-24 ปี (51.2) ผู้ป่วยเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูง 10 อันดับแรก ได้แก่ พะเยา อัตราป่วย 222.2 ต่อประชากรแสนคน รองลงมา คือ แพร่ (219.1) พัทลุง (216.8) อุบลราชธานี (196.2) ภูเก็ต (149.9) นราธิวาส (126.3) นครศรีธรรมราช (120.5) มุกดาหาร (116.5) และน่าน (116.2) ตามลำดับ”

“ข้อมูลการเฝ้าระวังสายพันธุ์เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ขณะนี้พบไวรัสสายพันธุ์ A/H3 ร้อยละ 53 มากที่สุด รองลงมาเป็นสายพันธุ์ B และ A/H1 2009 ร้อยละ 31 และ 16 ตามลำดับ การเฝ้าระวังเหตุการณ์การระบาด โรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 1 พฤษภาคม 2566 พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน 15 เหตุการณ์ และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มากที่สุดในโรงเรียน พบการระบาด 7 เหตุการณ์ รองลงมาเป็นเรือนจำ 5 เหตุการณ์ และวัด 2 เหตุการณ์ และค่ายทหาร 1 เหตุการณ์ จึงขอให้ผู้รับผิดชอบสถานที่เหล่านี้ เข้มงวดมาตรการป้องกันโรค ได้แก่ สวมหน้ากาก เมื่อมีอาการป่วยเพื่อลดการแพร่เชื้อ ล้างมือบ่อยๆ เลี่ยงการอยู่ในที่มีผู้คนแออัดหรือสวมหน้ากาก นอกจากนี้แนะนำประชากรกลุ่มเสี่ยง เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันโควิด 19 ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422”

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat