เปิดปฏิบัติการตรวจสอบ 25 ห้องเย็นกักตุนหมูในจังหวัดปริมณฑล
เปิดปฏิบัติการตรวจสอบ 25 ห้องเย็นมีพฤติกรรม กักตุนเนื้อหมู 11 เป้าหมายในจังหวัดปริมณฑล
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประชุมร่วมกับ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าหน้าที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำกำลังเข้าตรวจสอบห้องเย็นที่มีพฤติกรรมกักตุนเนื้อหมู 11 เป้าหมาย ในพื้นที่ปริมณฑล
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า หลังจากนายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสืบสวนปราบปราม การนำเนื้อสุกรมากักตุนในห้องเย็น จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เนื้อหมูมีราคาแพง ได้บูรณาการกำลังกันทุกฝ่ายเข้าตรวจสอบ ซึ่งจากการสืบสวน ทราบว่ามี 25 บริษัทในจังหวัดสมุทรสาคร ที่ประกอบธุรกิจห้องเย็น อาจเข้าข่ายความผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เรื่องการกักตุนเนื้อสุกรเกิน 5,000 กิโลกรัม โดยไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ
จากการตรวจสอบ พบว่าบางบริษัทมีจำนวนเนื้อสุกรเกินกว่ากฎหมายกำหนด โดยบางรายอ้างว่าอยู่ระหว่างดำเนินการแจ้ง เนื่องจากเพิ่งทราบระเบียบ เจ้าหน้าที่จึงได้วางแผนติดตามตรวจสอบ หากพบว่าไม่มีการแจ้ง ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการฯ หรือหากมีการแจ้งการครอบครองไม่ตรงกับความเป็นจริง ก็จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.137 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า ขณะนี้มี 4 บริษัทห้องเย็นมาแจ้งการครอบครองซากสุกรเกิน 5,000 กิโลกรัมแล้ว ส่วนอีกหลายบริษัทที่อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยอ้างว่า เพิ่งได้รับหนังสือประกาศสำนักงานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคากลางสินค้าและบริการ ฉบับที่ 1 เรื่อง “แบบแจ้งตามประกาศคณะกรรมการกลางฯ” เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา
ขณะที่ นายณัฐวุฒิ หุ่นมีทอง นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าถึงกรณีผู้ครอบครองสุกรมีชีวิตตั้งแต่ 500 ตัวขึ้นไป และผู้ครอบครองสุกรชำแหละผ่าซีก เนื้อสุกรชำแหละ มีปริมาณตั้งแต่ 5,000 กิโลกรัมขึ้นไป ว่า ต้องแจ้งปริมาณการเลี้ยง การซื้อ การจำหน่าย มิเช่นนั้นจะมีความผิดตาม ม.25 (3), (5) พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง