ชุมชนองค์รวมขนาดต่างๆ ต่างเป็นอิสระ ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใครเข้ามาสัมพันธ์กันด้วยความสมัครใจ โดยการเรียนรู้ร่วมกัน และเกิดประโยชน์ร่วม
คือแต่ละหน่วยเป็นอิสระ ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใคร เข้ามาสัมพันธ์กันด้วยความสมัครใจ โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เกิดประโยชน์ร่วมกัน
ที่เรียกว่า chaordic เพราะเมื่อไม่มีอำนาจควบคุม เริ่มต้นจะโกลาหลจนวิกฤต ไม่สามารถสลัดออกจากอำนาจของสมองส่วนหลังได้ เพราะคิดเชิงอำนาจ สัมพันธภาพเชิงอำนาจ และโครงสร้างอำนาจ เมื่อโลกวิกฤตมากขึ้นๆ โควิดก็มา กระชากจิตสำนึกอย่างแรงให้เปลี่ยนไปใช้สมองส่วนหน้า หรือสมองแห่งความเป็นมนุษย์
โลกยุคใหม่หลังวิกฤตโควิด-19 จึงเป็นโลกแห่งการใช้สมองส่วนหน้า หรือสมองแห่งความเป็นมนุษย์ มนุษย์ชาติจะใช้ศักยภาพสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ สร้างระบบแห่งการอยู่ร่วมกันใหม่(chaos) แต่ต่อมาจะจัดระเบียบลงตัวเอง (order) chaos + order = chaordic ความสัมพันธ์แบบนี้ให้ความสุข ความสร้างสรรค์ และสันติอย่างยิ่ง
ต่างจากสัมพันธภาพเชิงอำนาจที่นำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรง เช่น ระหว่างศาสนา ลัทธิ อุดมการณ์ สีผิว อย่างที่เป็นไปในโลกปัจจุบัน
สัมพันธภาพใหม่แบบ chaordic เป็นการถอนตัวจากโครงสร้างอำนาจ ไปเป็นโครงสร้างเชิงธรรม(ชาติ) ที่เคารพความหลากหลาย ทุกชุมชนองค์รวมมีสิทธิ์และศักดิ์ศรีในการอยู่ร่วมกันตามความเชื่อ คุณค่า ลัทธิ อุดมการณ์ของตนๆ ที่แตกต่างหลากหลายกันไป ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใคร
สังคมในระบบ chaordic จึงปราศจากความขัดแย้งในระบบความเชื่อ คุณค่า ลัทธิ อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง สีผิว ฯลฯ
ระบบการอยู่ร่วมกันใหม่นี้ จึงสันติสมดุล ท่ามกลางความหลากหลายสุดประมาณ ความเป็นองค์รวมแต่ละระดับจะมีคุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์ที่ทำให้ก้าวข้ามข้อจำกัดในตัวเอง(Transcendent)
ธรรมชาติสร้างสมองส่วนหน้า (Prefrontal cortex) อยู่ตรงหลังหน้าผาก ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้มนุษย์มีปรีชาญาณเหนือสัญชาตญาณอย่างสัตว์เลื้อยคลาน ที่ควบคุมโดยสมองส่วนหลัง รอคอยให้มนุษย์ก้าวข้ามข้อจำกัด (Transcending) ในตัวเองมานานแล้ว สมองส่วนหน้าทำให้มนุษย์มีศักยภาพสูงสุด
แต่มนุษย์ชาติก็ติดอยู่ในอำนาจสมองสัตว์เลื้อยคลานมานาน