ยูนิเซฟ เผย เด็กเล็กในไทย 1 ใน 10 เผชิญความยากจนทางอาหารขั้นรุนแรง
ขณะที่ภาวะอ้วนในเด็กเล็กเพิ่มขึ้น เหตุบริโภคน้ำตาลและไขมันสูง เรียกร้องทุกภาคส่วนปฏิรูประบบอาหาร ให้เด็กได้รับสารอาหารที่ดีในราคาไม่แพง
วันนี้ (6 มิ.ย. 67) ยูนิเซฟเปิดเผยรายงานฉบับใหม่พบว่า เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีในประเทศไทยจำนวน 1 ใน 10 กำลังเผชิญภาวะความยากจนทางอาหารขั้นรุนแรง โดยได้รับประทานอาหารไม่เกิน 2 หมู่ต่อวัน อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและพัฒนาการโดยรวมในระยะยาว ขณะที่ภาวะอ้วนในเด็กเล็กของไทยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและไขมันสูง อันเป็นผลมาจากครอบครัวไม่มีกำลังซื้ออาหารที่มีคุณภาพให้เด็ก รวมถึงการตลาดเชิงรุก ทำให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มแปรรูปและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงกำลังแทนที่อาหารที่มีประโยชน์ของเด็ก
รายงาน Child Food Poverty: Nutrition Deprivation in Early Childhood ของยูนิเซฟชี้ให้เห็นว่า นอกจากประเทศไทยแล้ว ทั่วโลกมีเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีราว 181 ล้านคน หรือ 1 ใน 4 คน กำลังเผชิญความยากจนทางอาหารขั้นรุนแรง ซึ่งเป็นผลมาจากความเหลื่อมล้ำ การสู้รบ วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนราคาอาหารและค่าครองชีพที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดย เด็กที่เผชิญความยากจนทางอาหารขั้นรุนแรง ได้รับประทานอาหารไม่เกิน 2 หมู่ต่อวัน ทั้งที่เด็กจำเป็นต้องรับประทานอาหารอย่างน้อย 5 หมู่ต่อวัน
คยองซอน คิม ผู้อำนวยการ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า เด็กจำเป็นต้องรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการและได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอด การเจริญเติบโต และการพัฒนาตลอดช่วงชีวิต การขาดโภชนาการที่ดีอาจส่งผลเสียระยะยาวต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็กอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมา
รายงานยังระบุว่า ร้อยละ 65 ของเด็กที่เผชิญความยากจนทางอาหารขั้นรุนแรงอาศัยอยู่ใน 20 ประเทศ โดย 64 ล้านคนอาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้, 59 ล้านคนอยู่ในภูมิภาคแอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารา และอีก 17 ล้านคนอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยเด็ก 4 ใน 5 คน ได้รับประทานเพียงนมและอาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี หรือเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ขณะที่น้อยกว่าร้อยละ 10 ได้รับประทานผักและผลไม้ และน้อยกว่าร้อยละ 5 รับประทานอาหารที่มีสารอาหารสูง เช่น ไข่ ปลา สัตว์ปีก หรือเนื้อ
การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ.2565 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟ ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลด้านโภชนาการเด็ก โดยมีเด็กในประเทศไทยเพียงร้อยละ 29 เท่านั้นที่ได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรก นอกจากนี้ ร้อยละ 13 ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปียังมีภาวะเตี้ยแคระแกร็น และร้อยละ 7 มีภาวะผอมแห้ง เนื่องจากการขาดสารอาหารอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
ภาวะเตี้ยแคระแกร็นและผอมแห้งมักพบมากในเด็กที่ครอบครัวมีฐานะยากจน เด็กในครอบครัวที่ไม่พูดภาษาไทย และเด็กที่แม่มีการศึกษาน้อยหรือไม่มีเลย นอกจากนี้ เด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเผชิญภาวะเตี้ยแคระเกร็นสูงสุด อยู่ที่ร้อยละ 20 ขณะเดียวกันภาวะอ้วนในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีของประเทศไทยก็เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มจากร้อยละ 9 ในปี 2562 เป็นร้อยละ 11 ในปี 2565 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
รายงานของยูนิเซฟระบุว่า ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดวิกฤตความยากจนทางอาหารของเด็กมีหลายประการ ทั้งระบบอาหารที่ล้มเหลว ซึ่งทำให้เด็กเข้าไม่ถึงอาหารที่มีประโยชน์และปลอดภัย หรือการที่ครอบครัวไม่มีกำลังซื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนขาดความรู้และทักษะในการส่งเสริมโภชนาการที่ดีให้กับลูก
ปัจจุบันการตลาดเชิงรุกที่มุ่งเป้าไปยังพ่อแม่กำลังทำให้เด็กบริโภคอาหารแปรรูปและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งมีสารอาหารต่ำ ราคาถูก และไม่ดีต่อสุขภาพ ผลการศึกษาของยูนิเซฟพบว่า อาหารสำเร็จรูปที่ทำการตลาดกับเด็กเล็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีปริมาณน้ำตาลและเกลือสูง อีกทั้งยังติดฉลากที่อาจจะสร้างความเข้าใจผิดว่าเหมาะสมสำหรับเด็ก ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้กำลังแทนที่อาหารที่มีประโยชน์ของเด็ก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่กำลังเผชิญกับความยากจนทางอาหาร
ทั้งนี้ ยูนิเซฟเรียกร้องให้รัฐบาล องค์กรเพื่อการพัฒนาและมนุษยธรรม ภาคประชาสังคม และภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ร่วมดำเนินการอย่างเร่งด่วนดังนี้
1.ปฏิรูประบบอาหารเพื่อให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ความหลากหลาย และสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้ ราคาไม่แพง และเป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับครอบครัวและผู้ดูแลเด็ก
2.จัดให้มีบริการด้านโภชนาการโดยเชื่อมโยงกับระบบสาธารณสุข เพื่อป้องกันและรักษาเด็กที่ขาดสารอาหารตลอดจนให้ความรู้ผู้ปกครองในการส่งเสริมโภชนาการของเด็ก
3.พัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมผ่านการให้เงินอุดหนุน อาหาร หรือบัตรเงินสด หรือวิธีอื่น ๆ ที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยสามารถจัดหาอาหารที่มีประโยชน์ให้กับลูกได้