สภาองค์กรของผู้บริโภค ร้อง กสทช. คว่ำดีลควบรวม ทรู-ดีแทค หวั่นผูกขาดตลาด
สภาองค์กรของผู้บริโภค ร้อง กสทช. ยึดหลักการ-ยืนข้างผู้บริโภค คว่ำดีลควบรวมทรู-ดีแทค หวั่นผูกขาดตลาดโทรคมนาคม เชื่อเรื่องนี้จบที่ศาลปกครอง
วันนี้ (10 ต.ค. 65) สภาองค์กรของผู้บริโภค นำโดย นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ยื่นหนังสือถึงประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ขอให้ กสทช. ใช้ หลักอุดมการณ์และยืนหยัดข้างผู้บริโภคและประชาชน
นางสาวสุภิญญา กล่าวว่า เนื่องจากกรณีที่ บริษัท ทรู คอร์เปอร์เรชั่น (จํากัด) มหาชน และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอม มิวนิเคชั่น (จํากัด) มหาชน มีเจตนาจะทําการควบรวมบริษัทในธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งท่านในฐานะคณะกรรมการ องค์กรอิสระที่ดูแลกํากับกิจการโทรคมนาคมจะต้องใช้อํานาจพิจารณาการควบรวมครั้งนี้ เนื่องจากบริษัททั้งสอง เป็นบริษัทในกิจการโทรคมนาคม ที่หลังจากการควบรวมจะมีการเข้าไปถือหุ้นมากกว่า 10% ในบริษัทลูก คือ บริษัท ทรูมูฟเอช จํากัด และ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จํากัด
ซึ่งทั้งสองบริษัทเป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ โทรคมนาคมที่ถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน อันขัดต่อตามบัญญัติมาตรา 21 ของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ประกาศ กทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 และประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกํากับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 ยิ่งไปกว่านั้น ยังขัดต่อแผนแม่บท กิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2562-2566 ที่มีผลผูกพันต่อ กสทช. ในทางปกครองนับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เรื่องการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม
สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ในฐานะเป็นตัวแทนผู้บริโภค ที่มีอํานาจคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ์ของผู้บริโภคในทุกด้าน มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าการควบรวมกิจการโทรคมนาคมดังกล่าว จะเกิดผลกระทบต่อสังคมในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าด้านการศึกษา หากคณะกรรมการ กสทช. อนุญาตให้เกิดการควบรวมกิจการทั้งสองบริษัทนี้จะทําให้เกิดการผูกขาด และลดการแข่งขันในตลาดค่ายมือถือ และตลาดอินเตอร์เน็ตที่เป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาความรู้ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย อีกทั้งเป็นการเปิดโอกาสการเข้าถึงแหล่งความรู้จากทุกมุมโลกที่จะทําให้นักศึกษา ผู้บริโภค และประชาชน มีโอกาสพัฒนาศักยภาพด้วยตนเอง หรือจากสถาบันการศึกษาระดับโลก
อีกทั้ง จากผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการด้าน เศรษฐศาสตร์ ของ กสทช. พบว่า การควบรวมครั้งนี้เป็นอันตรายต่อการแข่งขันในตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ค ที่แสดงค่า HHI ที่เป็นดัชนีวัดการกระจุกตัวของตลาด ที่ กสทช. ได้กําหนดไว้ว่าไม่ควรเกิน 2500 แต่หากเกิดการควบรวม ดัชนีนี้จะทะยานสูงถึง 5007 ที่ส่งสัญญาณอันตรายต่อตลาดนี้ที่นําทรัพยากรคลื่นความถี่ของประชาชนมาบริหาร โดยมีการคาดการณ์ว่า ราคาค่าบริการที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเพิ่ม จะสูงขึ้นจาก 2.07% ในระดับของการแข่งขันหลังควบรวม และจะทะยานถึง 244.5% และทําให้ผู้บริโภคขาดทางเลือกในการใช้บริการ กระทบต่อสิทธิ เสรีภาพของพลเมืองในยุคดิจิทัล รวมถึงความมั่นคงในการบริการโครงข่ายสาธารณะเพราะการมีผู้ประกอบการ น้อยรายย่อมเสี่ยงมากกว่าการมีผู้ประกอบการมากราย
ในนาม สภาองค์กรของผู้บริโภค จึงขอเรียกร้องให้ท่านยึดมั่นต่อหน้าที่ที่มีต่อประชาชนในการ รักษาผลประโยชน์สูงสุด ตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 60 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ด้วยการไม่อนุญาตให้เกิด การควบรวม ซึ่งหากวิเคราะห์ตาม มาตรา 21 ในพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ปี 2549 จะพบว่า ได้มีการแสดงเจตนารมณ์ทางกฎหมาย อย่างชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้มีการผูกขาด หรือลดการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคมในธุรกิจประเภทเดียวกัน
“ขอให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ใช้หลักอุดมการณ์และยืนหยัดข้างผู้บริโภคและประชาชน” นางสาวสุภิญญา กล่าว
ทางด้าน ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กสทช. กล่าวตอบรับว่า ทาง กสทช. มีการพิจารณาศึกษากรณีการควบรวมมาสักระยะหนึ่งแล้ว แล้วพบว่ามีกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดหลายประการ ตลอดจนจะมองข้ามหลักการผลประโยชน์สาธารณะไม่ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีความเห็นทั้งสองฝ่าย ก็ต้องนำมาพิจารณาประกอบกัน
“ในการประชุมบอร์ด ถ้ามีจดหมายเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาสังคมหรือเอกชนที่เกี่ยวข้องก็จะบรรจุเข้าสู่วาระพิจารณา” ศ.ดร.พิรงรอง กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงขั้นตอนการพิจารณาของ กสทช. นั้น ศ.ดร.พิรงรอง ตอบว่า การประชุมในวันที่ 12 ต.ค. นี้ มีวาระพิจารณากรณีควบรวมกิจการดังกล่าว แต่ยังไม่อาจยืนยันได้ว่ามติจะออกมาเมื่อใด
“กสทช. ชุดนี้เริ่มงานเมื่อเดือนเมษายน เรื่องนี้กระทบอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค ผู้ใช้งาน แต่กระทบกับหลายอย่าง จึงต้องศึกษาและมีแนวทางที่รอบคอบ” ศ.ดร.พิรงรอง กล่าว
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังสอบถามถึงท่าทีของสภาองค์กรของผู้บริโภคหาก กสทช. มีมติให้ควบรวมได้ นางสาวสุภิญญา ตอบว่า เรื่องนี้ไม่ว่า กสทช. จะตัดสินใจอย่างไร คงต้องจบที่ศาลปกครองอยู่แล้ว เป็นหลักตามนิติธรรมปกติ เพียงแค่ขอให้ กสทช. มั่นใจว่ามติเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ เรื่องนี้ต้องไปพึ่งพาความยุติธรรมของศาลปกครองอยู่แล้วไม่ว่าจะออกมาทางไหน